เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ในเวลางาน: เป็นคนตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง เพื่อให้งานนั้นๆ สำเร็จได้อย่างราบรื่น (ท้อแท้บางในบางครั้ง), นอกเวลางาน: ง่ายๆ สบายๆ ชอบท่องเที่ยว ปาร์ตี้สังสรร เป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง อารมณ์ขัน ยิ้มเก่ง (โดยเฉพาะตอนเริ่มกึ้มๆ แล้วอ่ะ 555)

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เสน่ห์...สะกดใจ

คนทุกคนอยากมีเสน่ห์ เพราะใครๆ ต่างก็ต้องการ “แรงดึงดูด” ที่จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสนใจ ประทับใจ และให้ความสำคัญนับตั้งแต่เกิดความรู้สึกนั้นเป็นต้นมา ...

เสน่ห์ เป็นพลังแฝงเร้นที่สำคัญ ที่ทำให้คนเรามีชีวิตอย่างราบรื่น ไร้อุปสรรค และเป็นที่รักของคนอื่นๆ ทว่าสิ่งที่ควรรู้ก็คือ เสน่ห์เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจและสร้างหรือปรุงให้เกิดขึ้น

JOBJOB เสน่ห์...สะกดใจ

จะทำอย่างไรดีคะ ให้ตัวเองมีเสน่ห์ ขอแนะนำดังต่อไปนี้ค่ะ

1.สะกดด้วยรูปกาย

ห้าวินาทีแรกที่คนจะรู้สึกในทางบวกต่อกันก็คือ คนคนนั้นช่างเป็นคนที่ “น่ามอง”

น่ามองที่ว่า ไม่ได้แปลว่าต้องสวยเลิศเลอ หรือหล่อเร้าใจเสมอไป แค่เพียงมีรูปร่างที่ดี ได้สัดได้ส่วน มีผิวพรรณที่ผ่องใส และแลดูสะอาดสะอ้าน เท่านี้ก็เป็นเบื้องต้นของการสะกดใจคนใน 5 วินาทีแรกแล้วค่ะ

จะรูปร่างดีได้ ก็ต้องเริ่มต้นจากการควบคุมน้ำหนัก เพื่อให้รูปร่างไม่บางหรือหนาจนเกินไป และให้มีกล้ามเนื้อที่กระชับ แข็งแรง และเปล่งปลั่งตามธรรมชาติ จากนั้นก็ให้ใส่ใจต่อการรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ ในปริมาณที่ร่างกายต้องการ ไม่ใช่ตามใจปาก คือ รับประทานเพราะอร่อย จึงรับประทานเข้าไปมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ หรือขัดใจปาก คือ พยายามควบคุมการกินเสียจนร่างกายสูญเสียโอกาสที่จะได้รับพลังงานอย่างเพียง พอและสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน อาจดูผอมบางก็จริง แต่ผิวพรรณจะแห้งกร้าน เหี่ยว ไม่มีน้ำมีนวล และในอนาคตอาจเกิดโรคภัยเบียดเบียน เพราะร่างกายขาดภูมิต้านทาน

ดังนั้น ต้องใส่ใจอาหารทั้งสามมื้อ โดยรับประทานในสัดส่วนที่พอเหมาะพอดีกับกิจกรรมประจำวัน รับประทานให้หลากหลาย ไม่เลือกรับประทานเฉพาะสิ่งที่ชอบซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้น และต้องเฉลี่ยให้ได้รับสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ คือ เนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ ข้าวและธัญพืช หรือแป้ง ที่ไม่ขัดสีจนขาดวิตามินบีที่จำเป็นต่อร่างกาย ผักสัก 3 ชนิดขึ้นไปในแต่ละวัน ไขมันซึ่งจะช่วยทำละลายวิตามินบางชนิดเพื่อให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ และผลไม้สัก 2 ชนิดเป็นอย่างน้อย โดยเลือกผลไม้ที่ไม่หวานจัดหรือมีแป้งมาก

2.สะกดด้วยการแต่งกาย

เมื่อมีรูปร่างที่ดีเป็นทุน ที่เหลือก็เป็นกำไร

เลือกเสื้อผ้าให้ดูดี คือ เข้ากับฐานะ การงาน อาชีพ และต้องสะท้อนความมีรสนิยมด้วย ที่เหลือก็เลือกแต่งกายให้มีความร่วมสมัย ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป พอดีๆ ชนิดกำลังน่ามอง โดยไม่ถูกแซวว่า “เยอะ” หรือ Fully Furnish คืออุดมไปด้วยเฟอร์นิเจอร์เสียจนรกรุงรัง

รสนิยมของเสื้อผ้าดูที่ตรงไหน ดูที่แบบก่อนเลยค่ะ แบบต้องร่วมสมัย ไม่ตกยุค และเข้ากับรูปร่างของตัวเอง ไม่ทำให้รูปร่างที่ดีกลายเป็นอวบอ้วน เทอะทะ หรือหลวมโคร่ง และต้องเสริมความปราดเปรียว เพรียว โปร่ง และกระฉับกระเฉง

จากนั้นดูที่สีและลวดลาย คนที่สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์สีกับลวดลายของเสื้อผ้าทั้งชุดให้น่ามองได้มาก เท่าไร ก็จะยิ่งมีเสน่ห์สะกดตาสะกดใจได้มากเท่านั้น

ส่วนเรื่องราคาไม่ต้องห่วงเลยค่ะ ราคาไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้าหรือยี่ห้อ แต่อยู่ที่เมื่อใส่แล้วเสริมความดูดีให้คุณมากน้อยแค่ไหน ถ้าดูดีมากราคาของความน่ามองก็มากตาม ก็เลือกเอานะคะ ว่าจะแพงที่เสื้อผ้า หรือสูงค่าตรงความน่ามอง

3.มาดดี อิริยาบถดี

บางคนรูปร่างดี แต่งตัวดี แต่ไม่มีมาด ความสง่าน่ามองก็ถดถอยไปเลย คนเราจึงต้องมีมาดกันสักเล็กน้อย ไม่ต้องเยอะ เพราะยิ่งเยอะจะยิ่งขัดหูขัดตา

“มาด” ไม่ใช่กิริยาที่ต้องประดิษฐ์คิดค้นขึ้นใหม่ เป็นท่วงท่าปกติที่เราๆ ท่านๆ คาดหมายว่าคนทุกคนน่าจะมีกัน เช่น ยืน เดิน นั่ง ยิ้ม พูดจาต่อกันด้วยความมั่นใจ มีความเชื่อมั่นที่จะเคลื่อนไหว หรือพบปะพูดจาอย่างคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง และดูสบายตา ไม่เก้อๆ เขินๆ หรือมั่นใจจนเกินเหตุ

มาดมักมาคู่กับคำว่า “อิริยาบถ” หลายคนเข้าใจว่ามาดคือการเต๊ะท่า ถ้าเช่นนั้นก็ควรหันมาใส่ใจอิริยาบถเพิ่มเติมกันอีกสักคำ

อิริยาบถ ก็คือ การเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น แต่ระมัดระวัง ใส่ใจ โปรดทราบว่าทุกๆ การเคลื่อนไหวนั้นมีความหมายในตัวเอง เพราะอิริยาบถนับเป็น “ภาษากาย” อย่างหนึ่ง ซึ่งจะจับใจคนได้ ต้องเป็นภาษากายที่สื่อสารทางบวก เช่น มีรอยยิ้ม สัมผัสได้ถึงความจริงใจและความเคารพ เป็นต้น

4.พูดจาดี มีประเด็น

ว่ากันว่าราคาของคนอยู่ที่การพูดจานี่เอง ดูดีมาตลอดทั้งสามข้อ อย่าต้องมาตกม้าตายที่การพูดจานี่เลยนะคะ
การ พูดจาเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนควบคู่ไปกับการศึกษาคน หรืออ่านคนให้ขาด ว่าคนลักษณะนี้เราควรพูดจาอย่างไร ถือเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ลุ่มลึก ซึ่งในอนาคตดิฉันจะค่อยๆ ขยายความให้อย่างละเอียดค่ะ

แต่เบื้องต้น การพูดจาต้องมีความเป็นมิตร ซึ่งดูได้จากน้ำเสียงและการเลือกใช้ถ้อยคำ ต้องพูดจาน่าสนใจ ไม่ใช่มีแค่เรื่องดินฟ้าอากาศหรือข่าวสารสัพเพเหระ คุยด้วยแล้วสนุก มีประเด็น ที่ฟังแล้วจับใจ ได้ประโยชน์ แต่ต้องไม่ล้ำไปถึงขั้น “อวดภูมิ”

การพูดจาจึงต้องฝึกฝน 2 ประเด็นที่สำคัญด้วยกัน คือ พูดให้น่ามอง กับพูดให้น่าฟัง ใครทำได้ทั้งสองอย่าง รับรองประสบความสำเร็จ

5.จริงใจ ไม่เสแสร้ง

ไม่มีอะไรที่มนุษย์จะรู้สึกรักกันได้เท่ากับการสัมผัสได้ว่า คนคนนี้จริงใจกับเรามาก เป็นคนเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่มีอะไรซ่อนอยู่ข้างหลัง เสน่ห์ที่จะสะกดใจคนแปลกหน้าให้พัฒนามาเป็นคนรู้จัก แล้วกลายเป็นมิตรแท้ ก็คือความจริงใจต่อกันนี่เอง

ทั้งหมดนี้เป็นหลักการกว้างๆ ขั้นต้น สำหรับคนอยากมีเสน่ห์ ส่วนการขยายความเพื่อลงลึกถึงทักษะที่ควรฝึกฝน ต้องติดตามกันต่อไปนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น