เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ในเวลางาน: เป็นคนตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง เพื่อให้งานนั้นๆ สำเร็จได้อย่างราบรื่น (ท้อแท้บางในบางครั้ง), นอกเวลางาน: ง่ายๆ สบายๆ ชอบท่องเที่ยว ปาร์ตี้สังสรร เป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง อารมณ์ขัน ยิ้มเก่ง (โดยเฉพาะตอนเริ่มกึ้มๆ แล้วอ่ะ 555)

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เตือนภาษีที่ดิน ดาบ2คม รบ.ต้องรอบคอบ

Pic_22174

ดร.โกร่งชี้ กม.ภาษีที่ดินซึ่ง รมว.คลังเตรียมชง ครม.อาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำมากกว่าเป็นธรรม พร้อมสอนมวยหน้าที่ภาษี ด้านอดีตนายกฯ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยหวั่นคนซื้อบ้าน-อสังหาฯ แบกภาระพิ่ม...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในเดือน ส.ค.นี้ นายกรณ์ จาติกวนิช รัฐมนตรีว่าการกรรวงการคลัง เตรียมเสนอหลักการของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ... เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งหลัก การของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เป็นการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีโรงเรือน และที่ดินเดิมซึ่งมีมากกว่า 12 ฉบับให้ชัด เจนขึ้นจากที่แยกย่อยมากกว่า 34 อัตรา เหลืออยู่เพียง 3 อัตราเท่านั้น ประกอบด้วย

1. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ มีเพดานการจัดเก็บไม่เกิน 0.5% เช่น ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างราคา 1 ล้านบาท เสียภาษีในอัตราสูงสุดไม่เกิน 5,000 บาทต่อปี

2. ภาษีที่อยู่อาศัยซึ่งไม่ได้ใช้เชิงพาณิชย์ มีเพดานจัดเก็บไม่เกิน 0.1% เช่น ราคา 1 ล้านบาท เสียภาษีในอัตราสูงสุด 1,000 บาท

3. ภาษีสำหรับที่ดินเกษตรกรรมจัดเก็บภาษีไม่เกิน 0.05% เช่น ราคาที่ดิน 1 ล้านบาท เสียภาษี 500 บาทต่อปี

สำหรับ ที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ กำหนดให้ ต้องเสียภาษีไม่เกิน 0.5% โดยเก็บเป็นลักษณะภาษีก้าวหน้า โดยภายใน 3 ปีถัดไป หากไม่ทำประโยชน์อีก จะเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่สูงสุดได้ไม่เกิน 2% ของฐานภาษีหรือราคาประเมิน

อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้สร้างภาระกับประชาชนมากเกินไป และเผื่อเวลาให้กรมธนารักษ์ดำเนินการประเมินราคาที่ดินใหม่ทั่วประเทศ 30 ล้านแปลงให้เสร็จสิ้น เมื่อกฎหมายผ่านการพิจารณาจากรัฐสภา กระทรวงการคลังก็ยังมีการตราบทเฉพาะกาลยกเว้นการบังคับใช้ไว้ก่อน 2 ปี ก่อนเริ่มใช้จริงในปีที่ 3

และเมื่อเริ่มบังคับใช้จริงในปีแรกยัง กำหนดข้อผ่อนปรนเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ไม่เคยเสียภาษีที่ดินและโรงเรือนมา ก่อน หรือเสียเพิ่มจากที่เคยต้องเสียในช่วงก่อนหน้าให้เสียภาษีเพียง 50% ของภาษีที่ต้องจ่ายเพิ่มปีที่ 2 เพิ่มเป็นเสียภาษี 75% และปีที่ 3 เป็นต้นไปจึงจะเสียเต็มจำนวนหรือเสียภาษีเต็ม 100%

ด้านนายวีรพงษ์ รามางกูร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า การนำเอาภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งก็คือ ภาษีทรัพย์สินและมรดกมาใช้ภายใต้ข้อกำหนดที่เพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีขึ้น เป็นสิ่งที่น่าจะต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบด้าน การอธิบายเหตุผลว่า ภาษีนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้ให้รัฐ ไม่ใช่เป็นรายได้ของรัฐบาลกลาง หากแต่ต้องการให้เป็นรายได้ของท้องถิ่นเอาไว้พัฒนาท้องถิ่นตน ที่สำคัญยังเป็นไปเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมนั้น อาจจะฟังดูดี แต่ในข้อเท็จจริง หากภาษีนั้นสร้างความยุ่งยาก มีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บมาก หรือเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ทุจริตได้ง่าย หรือทำให้คุ้มค่าที่จะเลี่ยง และหนีภาษี แทนที่จะสร้างความเป็นธรรมในสังคมอย่างที่ตั้งใจ ก็อาจจะสร้างความไม่เป็นธรรมให้มากขึ้นแทน

นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส กล่าวต่อว่า ยิ่งถ้าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ทำให้ เกิดการเสียเปรียบในการแข่งขัน และทำลายประสิทธิภาพในการผลิต และเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวในทางเศรษฐกิจ ตลอดจนทำลายแรงจูงใจในการออม ภาษีชนิดนี้ก็ไม่ควรมีการจัดเก็บ ยิ่งถ้าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวมีการปรับปรุงทั้งฐานภาษี และอัตราภาษีให้สูงขึ้น ก็น่าจะสร้างปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งในด้านจุดมุ่งหมาย และในแง่ของการปฏิบัติ

"ภาษี ควรทำหน้าที่อย่างเดียว คือ สร้างรายได้เพื่อให้รัฐสามารถนำรายได้นั้นไปจัดการสร้างระบบสาธารณูปโภคแก่ ประชาชนในประเทศ หรือทำอย่างไรให้ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของผู้คนไม่แตกต่างกันมาก ในสมัยที่สังคม นิยมกำลังพัดแรง หลายคนมีความคิดที่จะใช้ ภาษีอากรเป็นเครื่องมือในการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในด้านรายได้และ ทรัพย์สิน แต่ถึงวันนี้ ความคิดแบบเก่าเหล่านั้นเปลี่ยนไปแล้ว และสำคัญน้อยกว่าความแตกต่างทางด้านความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิต" นายวีรพงษ์ กล่าว และว่า ผลของการจัดเก็บภาษีนี้ อาจจะทำให้มีผู้คนบางกลุ่มบางเหล่า ไม่มีความสามารถในการเสียภาษี เพราะผลตอบแทนของที่ดิน หรือทรัพย์สินมีอัตราต่ำกว่าภาษี ก็อาจจะถูกทางการฟ้องร้องบังคับขาย เพื่อนำเงินมาชำระภาษีได้

นัก เศรษฐศาสตร์อาวุโส กล่าวอีกว่า ที่สำคัญคือ อัตราภาษีที่สูงเกินไป อาจจะทำให้คนในเมืองต้องแบ่งแยกกันอยู่ เป็นย่านคนรวย กับย่านคนจน เหมือนอย่างในต่างประเทศ หรือเมืองใหญ่ๆหลายแห่ง ซึ่งรัฐบาลหลายประเทศอยากจะเลิก และก็ทยอยเลิกใช้กฎหมายแบบเดียวกันนี้ไปแล้วจำนวนไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ภาษีที่ดิน ทรัพย์สิน หรือสิ่งปลูกสร้างที่สูง อาจจะทำให้ราคาทรัพย์สิน หรือราคาอสังหาริมทรัพย์มีราคาลดลง เพราะอย่างที่บอก ถ้าเจ้าของที่ดิน ทรัพย์สิน หรือสิ่งปลูกสร้างไม่มีความสามารถในการเสียภาษี เนื่องจากผลตอบแทนในที่ดิน และทรัพย์สินนั้นๆ ต่ำกว่าอัตราภาษี เจ้าของก็จะต้องประกาศขายทรัพย์สินที่มีในมือออกไป ถ้าไม่รีบขาย รัฐก็อาจเข้ามายึด เมื่อเป็นเช่นนี้ ราคาย่อมต้องลดลง ปัญหายังมีอยู่ด้วยว่า ถ้าจะต้องใช้เจ้าพนักงานในการประเมินประเภทที่ดิน ขนาดของที่ดิน และการใช้ประโยชน์ ของที่ดินแล้วล่ะก็ โอกาสที่เจ้าพนักงานจะมีความผิดพลาดทั้งที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ จะมีอยู่สูงมาก ทีนี้คนที่รับกรรมก็คือ ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน และทรัพย์สินนั้น

นายวีรพงษ์ยัง กล่าวด้วยว่า คนมีมรดกก็จำเป็นจะต้องสละมรดก เพราะเวลาที่พ่อแม่ตาย ทรัพย์สินต่างๆ ที่พ่อแม่ทิ้งไว้ จะต้องมาตีมูลค่าทรัพย์สินเพื่อเสียภาษีให้แก่รัฐ ทีนี้ ถ้าพ่อแม่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอีที่ทำกันมาจากครัวเรือนหลายชั่วอายุคน บรรดาลูกๆหลานๆที่รับมรดกหรือมีสิทธิได้รับมรดกตกทอดก็ต้องขายออกไป แล้วไปเป็นลูกจ้างเขาดีกว่า อย่างที่กล่าวไว้ว่า เมื่อมีการขายทรัพย์สิน หรือที่ดินออกมา ราคาก็จะต้องลดลง บางคนอาจจะมองว่าเป็นของดี แต่หลายคนก็มองว่า ไม่เป็นผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถาบันการเงินในระบบทุนนิยมเสรี เพราะจะทำให้หลักประกันในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินด้อยค่าลงไป

"คน ที่เคยเชื่อมั่นในที่ดินว่าเป็นทรัพย์สินที่คุ้มค่าในการลงทุน จะเจ๊งกันเป็นแถว ทุกคนในระบบทุนสามานย์ที่เป็นที่น่ารังเกียจนี่แหละ จะเจ๊งกันหมด ไม่มีใครเหลือรอด เพราะภาษีนี้" นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส กล่าว

นาย วีรพงษ์ กล่าวต่อว่า ความคิดในการพิจารณาเรื่องการจัดเก็บภาษีที่ดิน ภาษีทรัพย์ และภาษีมรดกนี้ มีมานานแล้ว แต่เมื่อพิจารณาถึงผลดีผลเสียทุกด้านแล้ว รัฐบาลในยุคที่ผ่านมา จึงได้ออกกฎหมายเก็บภาษีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ในอัตราที่ค่อนข้าง สูงแทน อย่างไรก็ตาม ผู้ถืออสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดินบ้านช่อง คอนโดมิเนียม ถ้าไม่ขายไม่โอนกรรมสิทธิ์ ก็เสียภาษีบำรุงท้องที่ และภาษีโรงเรือนในกรณีให้เช่าไป แต่ถ้าขายก็จะต้องเสียภาษีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ในอัตราก้าวหน้า ยิ่งเป็นพวกที่ซื้อมาขายไป หรือถือครองกรรมสิทธิ์ในระยะเวลาสั้นๆ ก็เสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น ผู้เสียภาษีก็ไม่เดือดร้อนว่าจะไม่มีเงินเสียภาษี เพราะไปเสียภาษีตอนที่ขาย ซึ่งได้เงินจากการขายอยู่แล้ว

นัก เศรษฐศาสตร์อาวุโส กล่าวอีกว่า ถ้ารัฐบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริหารจัดการกับการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ และภาษีโรงเรือนให้มีประสิทธิภาพ และจัดเก็บอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย รัฐ และท้องถิ่นก็จะมีรายได้จำนวนไม่น้อยในแต่ละปีนำไปพัฒนาประเทศให้ประชาชนมี คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีได้ ดูได้จากภาษีธุรกิจเฉพาะ ที่เก็บจากการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งแม้รัฐจะมีมาตรการลดอัตราภาษีให้ แต่รัฐก็จัดเก็บภาษีนี้ได้ปีละหลายหมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ภาษีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งนำมาใช้แทนการเก็บภาษีทรัพย์สิน หรือภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่กำลังพูดถึงกันอยู่ ซึ่งต้องจ่ายเป็นรายปีนี้ มีข้อดีก็คือ ในช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู จะมีการซื้อขายที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์กันมาก ภาษีก็เก็บได้มาก เท่ากับเป็นการดึงเศรษฐกิจไว้ไม่ให้ร้อนแรง ตรงกันข้ามในขณะที่เศรษฐกิจซบเซา การซื้อขาย หรือการโอนกรรมสิทธิ์มีน้อย ภาษีจากการขายอสังหาริมทรัพย์ก็น้อยลง ไม่เป็นการดึงให้เศรษฐกิจซบเซาลงไปอีก

นพ.สมเชาว์ ตัณฑเทอดธรรม อดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ตั้งข้อสังเกตว่าปัจจุบันคนไทยต้องซื้อที่อยู่อาศัยแพง อยู่แล้ว เพราะผู้ประกอบการต้องแบกรับภาษีในการทำธุรกิจบ้านจัดสรรและอาคารชุดประมาณ 20% ของราคา หากยังต้องแบกรับภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นรายปีนี้อีก จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้ผู้ซื้อบ้านต้องรับภาระเพิ่มขึ้น

ขณะที่ ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานกรรมการบริษัท อนันดาดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เห็นด้วยว่ากฎหมายจะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้สังคมและเกิดการกระจายรายได้ ทำให้เจ้าของที่ดินหรือ "แลนด์ลอร์ด" ต้องหาทางใช้ประโยชน์จากที่ดินที่มีอยู่ โดยเฉพาะในส่วนตึกร้าง ที่ดินรกร้างว่างเปล่าต่างๆ ที่ต่อไปจะถูกบีบบังคับให้มีการนำกลับมาใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจมากขึ้น

อย่าง ไรก็ตาม ในส่วนของวิธีการจัดเก็บภาษีที่ดินนั้น มีความเป็นห่วงว่ารัฐจะดำเนินการอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรม เพราะแม้ในหลักการจัดเก็บภาษีที่ดินจะจัดเก็บจากทุกคนเหมือนกันหมด แต่ก็เกรงว่าจะเกิดปัญหาที่ผู้แบกรับภาระในชั้นสุดท้าย จะกลายเป็นผู้มีรายได้น้อย นอกจากนี้ ในส่วนสาธารณูปโภคต่างๆ ที่ถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนกลางของโครงการนั้น ยังไม่มีความชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้แบกรับภาระ ใครจะต้องเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีจะผลักภาระไปให้ลูกบ้านหรือนิติบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐจะต้องพิจารณาให้ดี

นายสมบูรณ์ ฉายาวิจิตรศิลป์ ประธานกรรมการบริษัท สมหรรษา จำกัด ตั้งข้อสังเกตว่า การปรับระบบภาษีที่ดินให้ชัดเจนเริ่มทำตอนนี้ดีกว่าไม่ทำเลย เพราะจะทำให้ทุกคนมีความเข้าใจมากขึ้น ทั้งในส่วนของคนที่เคยจ่าย และยังไม่เคยจ่ายภาษีมาก่อน แต่อาจจะไม่จำเป็นเร่งด่วนในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม มองว่าภาษีที่ดินใหม่ จะทำให้เกิดการหมุนเวียนที่ดีขึ้น ในวงการอสังหาริมทรัพย์ มีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น และทำให้แนวโน้มราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งก่อให้เกิดการหมุนเวียน การพัฒนาที่ดินมากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจประเทศโดยรวมมากกว่า

ประธาน กรรมการบริษัท สมหรรษา กล่าวต่อว่า การประเมินราคาที่ดินทุกปีเพื่อเสียภาษีที่ดิน จะทำให้ แนวโน้มราคาที่ดินในอนาคตจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา รัฐต้องพิจารณาอัตราการเก็บภาษีที่ดินที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ราคาที่พุ่งขึ้นเร็วเกินไป ควรจะดูแลให้การปรับขึ้นเป็นไปตามการเติบโตของระบบเศรษฐกิจ ส่วนข้อเสียของ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินใหม่ ทำให้คนที่ไม่เคยมีที่ดินมาก่อน ต้องซื้อบ้าน และที่ดินในราคาแพงขึ้น ขณะที่มีคนส่วนหนึ่งที่มีบ้าน มีที่ดิน ต้องรับภาระภาษีเพิ่มขึ้น แต่จุดนี้คงไม่ทำให้ยอดขายบ้านที่ดิน หรือโครงการอสังหาริมทรัพย์ลดลง เพราะคงไม่ใช่ปัจจัยในการตัดสินใจซื้อ หรือไม่ซื้อ

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ศุกร์สบาย

Pic_19972

ศุกร์สบาย ศุกร์นี้แม้ไม่มีวันหยุดยาว ให้อิ่มหนำแต่ก็มีกิจกรรมดีๆมาแนะนำกันเช่นเคย...

ใส่ใจสุขภาพ


ความ ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ หมั่นดูแลเช็กสุขภาพกันเถอะ...มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราช ชนนี (พอ.สว.) จัดกิจกรรมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตวันที่ 18 ก.ค. ด้วยการจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พอ.สว.ออกบริการประชาชนโดยไม่คิดมูลค่าใน 44 จังหวัด และโครงการรณรงค์รักษาโรคตาต้อกระจก โดยให้การผ่าตัดแก่ผู้ป่วยในวันที่ 20-21 ก.ค. ที่ รพ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ...โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ จัดงาน "เพื่อหัวใจ คนไทยสบายดี ปี 2" พบกับโปรแกรมตรวจสุขภาพหัวใจครบสูตร ในราคา 3,990 บาท จนถึงวันที่ 15 ส.ค. สอบถามได้ที่ 1719 ...สถาบันทันตกรรม โรงพยาบาลปิยะเวท และศูนย์สุขภาพองค์รวมและสปา จัดสัมมนาเรื่อง "ฝังรากฟันเทียม...วิวัฒนาการช่วยไม่ให้เหงือกยุบ" ในวันที่ 18 ก.ค. เวลา 09.00 น. เข้าฟังฟรี ที่ห้องประชุมชั้น 4 ตรัยา รพ.ปิยะเวท...โรงพยาบาลบีเอ็นเอช จัดกิจกรรม "ร่วมโครงการห้องเรียนคุณแม่" รับปรึกษาปัญหาต่างๆ ในวันที่ 18 ก.ค. เวลา 08.00-16.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 7.

หนังสือน่าอ่าน


เติม อาหารสมองด้วยหนังสือดีๆ ที่มีให้เลือกตามรสนิยมเริ่มด้วย 34 วิธีคิด พลิกชีวิตสู่ความสำเร็จ ของ สมิต อาชวนิจกุล คู่มือสำหรับผู้ปรารถนาที่จะไปสู่ความสำเร็จในชีวิต...เพลินกับนวนิยายสนุก มนตราอธิษฐาน ของ ไอศิยา เรื่องราวของหนุ่มสาวที่ผูกพันมาแต่กาลก่อน...ส่วน ปรายรักรินใจ ของ กรมาศ เรื่องราวของหญิงสาวที่โลกเล่นตลกชักนำให้มาพบกับหนุ่มแปลกหน้า...หัวใจตัด กันที่สวิสฯ ของ ปณุรสา ถ่ายทอดเรื่องราวความรักที่สวยงาม...แซ่บ idol เกาหลี แผนลับจับ idol ของ เจเจ้ลี เฮฮาปาจิงโกะไปกับภารกิจลับตามจับเหล่า idol ชื่อดัง...นวนิยายแปล มามะฉันจะช่วยเธอ มีถ้อยคำง่ายๆ แต่พูดแล้วได้ใจของทุกคน ...ฟาลเซโร่ แฟนตาซี เรื่องราวสนุกของเอกิส องค์รัชทายาทแห่งแดนปีศาจ...ปิดท้ายด้วยหนังสือของคนรักการท่องเที่ยว ท่องกรีซ โดย เรือใบสองสี พาลัดเลาะล่องกรีซได้ทุกมุม.

บํารุงผิวพรรณ


ดูแล สุขภาพผิวพรรณกันด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงที่มีให้เลือกตามปัญหาที่ต้องการแก้ไข อาทิ ลาแมร์ LA– MER เอาใจสาวๆ ให้สวยครบเซตด้วยชุดปรนนิบัติผิวสุดหรู ลิมิเต็ดเอดิชั่น ประกอบด้วย ครีม เดอ ลา–แมร์, มอยส์เจอร์ไรซิงส์ โลชั่น, อายครีม, โลชั่นล้างหน้า ฯลฯ.....ลาแพรรี่ (la prairie) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ในการต่อต้านริ้วรอยแห่งวัย ADVANCED MARINE BIOLOGY DAY CREAM SPF20 ปกป้องผิวหน้าให้พ้นจากการรุกรานทุกรูปแบบในสภาพแวดล้อม ด้วยสารสกัดจากท้องทะเล......ลังโคม LANCOME ค้นพบการฟื้นฟูโปรตีนแห่งความอ่อนเยาว์ภายในผิว ที่จะช่วยให้ผิวกลับมีชีวิตชีวา อ่อนเยาว์ดูเปล่งปลั่งด้วย GENIFIQUE YOUTH ACTIVATOR ....... นุกซ์ (NUXE) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากธรรมชาติชั้นนำของฝรั่งเศส ชวนสัมผัสสุดยอดนวัตกรรมแห่งธรรมชาติ Huile Prodigieuse ออยล์ใสบริสุทธิ์ บำรุงผิวหน้าผิวกายและเส้นผม ช่วยฟื้นฟูความชุ่มชื้นให้แก่ผิวและเส้นผม Etincelante ครีมและเซรั่มบำรุงฟื้นฟูผิวสำหรับกลางวันที่จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำ และเสริมสร้างการผลิตเซลล์ที่กระจ่างใส......นูโทรจีนา Neutrogena เผยนวัตกรรมใหม่ไข 8 ต้นเหตุของผิวหมองคล้ำ เพื่อผิวขาวกระจ่างใสด้วยชุดผลิตภัณฑ์ Neutrogena Fine Fairness 8 Decode Technology.....บู๊ทส์ Boots นำ Boots No7 Protect &Perfect Intense Beauty Serum ผลิตภัณฑ์ที่ขายดีในประเทศอังกฤษ มาให้สาวไทยได้สัมผัสผลลัพธ์แห่งการลดเลือนริ้วรอยให้แลดูจางลง.






ช็อปปิ้งรับหน้าฝน


หลบ ฝนมาหาซื้อของใช้ที่ถูกใจกันดีกว่า...เซ็นทรัล ชวนเติมความสุนทรีย์ให้กับทุกมื้ออาหาร ในรายการ "Central Table Top Decoration 2009" แนะนำสินค้าคอลเลกชั่นเครื่องใช้ประดับโต๊ะอาหาร ในหมวดจาน ชาม แก้วน้ำ ฯลฯ พร้อมข้อเสนอพิเศษสุด จนถึงวันที่ 22 ก.ค. ที่แผนกเครื่องแก้ว ห้างเซ็นทรัลทุกสาขาและเซน...นักสะสม Movie Character มีเฮ เมื่อห้างสรรพสินค้าเดอะ มอลล์ จับมือนักสะสมกว่า 100 คน จัดงาน "The Legend of Sci-Fi Fantasy 2009" พบกองทัพของสะสม Movie Character ยอดฮิตจากนักสะสมกว่าหมื่นชิ้น พร้อมร่วมประมูล เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งมอบให้แก่เด็กด้อยโอกาส แวะไปตื่นตาตื่นใจได้ที่ MCC HALL ชั้น 4 เดอะ มอลล์ งามวงศ์วาน จนถึงวันที่ 19 ก.ค. ...สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ จัดมหกรรมเซลส์ครั้งยิ่งใหญ่ในรอบปี ในงาน "สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ช็อป มาราธอน" พบกับโชค 7 ชั้นยิ่งช็อปยิ่งคุ้ม กับส่วนลดตั้งแต่ 50-80% จนถึงวันที่ 19 ก.ค. เฉพาะวันที่ 17-18 ก.ค. เปิดให้ช็อปจนถึงเที่ยงคืน!...

โขมพัสตร์ ผู้จำหน่ายผ้าไทยพิมพ์มือ ลดราคาพิเศษ 20-50% ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.-8 ส.ค. ที่ร้านถนนนเรศ สี่พระยา ติดกับโรงพักบางรัก และสาขามิราเคิลมอลล์ ปากซอยสุขุมวิท 41 ยกเว้นวันอาทิตย์... จีอาร์ไอ จัดรายการ End of Season Sale ลดสูงสุด 50% สินค้าแบรนด์ดังของไนน์เวสท์, คาเรน มิลเลน, อีคิว ไอคิว, เอเค แอนไคลน์, โจนแอนด์เดวิด, ลัคกี้แบรนด์ยีนส์, ไอซอด, สตีฟ แมดเด้น และเอนโซแอนจิโอลินี ที่ช็อปทุกสาขาจนถึงสิ้นเดือนนี้...เวอร์ซาเช่ จัดรายการ "VERSACE Final Reduction" มอบข้อเสนอพิเศษสุดพร้อมส่วนลด On Top สูงสุด 10% ที่ช็อป เวอร์ซาเช่ ชั้น M สยามพารากอน จนถึงสิ้นเดือนนี้...สเวนเซ่นส์ แนะนำแคมเปญใหม่ "Everyday is Sunday" โดยเสิร์ฟซันเดย์เมนูใหม่ที่ชวนลิ้มลอง โดยนำไอศกรีมหลากชนิดที่ชื่นชอบมาสรรค์สร้างเป็นเมนูแสนอร่อยได้อย่างลงตัว ในราคาเพียงถ้วยละ 49 บาท ถึงวันที่ 30 ก.ย.




ทีมข่าวสตรี

ความสุขคือการได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

Pic_20175

เชื่อว่าหากเอ่ยชื่อของอดีตนางแบบชื่อดังอย่าง จอย-วราลักษณ์ วานิชย์กุล เด็กๆหรือวัยรุ่นหลายคนต้องทำหน้างง คิ้วขมวดกันเป็นแถว สาเหตุไม่ใช่เพราะเด็กๆกลุ่มนั้นไม่อัพเดทข่าวสาร หรือตัวคุณจอยเองที่ไม่โด่งดังพอ แต่เพราะที่ว่าคุณจอยเป็นนางแบบนั้น เธอเป็นนางแบบรุ่นแรกๆ หรือรุ่นบุกเบิกของเมืองไทยก็ว่าได้ แถมตอนนี้คุณจอยยังผันตัวเองออกมาเป็นนักธุรกิจสาว ดูแลธุรกิจสปาของตัวเอง ทำให้เธอหายหน้าหายตาจากวงการไปบ้าง

แต่ความสนใจของสาวจอยหาได้อยู่ ที่ความดังหรือไม่ดัง เพราะสิ่งที่น่าสนใจสำหรับสาวคนนี้ คือความเป็นสาวสุขภาพดี และมีความคิดในการใช้ชีวิต การทำงานที่น่าสนใจ และใหญ่เกินกว่าร่างผอมบางของเธออย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยเหตุนี้ “ไทยรัฐออนไลน์” จึงไม่พลาดชวนสาวจอยมาร่วมพูดคุย...

ก้าวแรกของเส้นทางแคททวอล์กไทย
-ตอน นั้นเรียนอยู่ ม.4 เราก็เป็นนักเรียนธรรมดาคนหนึ่งเดินเล่นอยู่ พอดีไปเจอกับพี่คนหนึ่ง ด้วยความที่เขาเห็นหน้าเราแปลก ไม่่เหมือนใคร ที่สำคัญเราสูงโดดเด่นมาก เขาก็เลยชวนเรามาถ่ายแบบ ซึ่งสมัยนั้นต้องบอกว่าอาชีพนางแบบ็ยังไม่ค่อยบูม มีแต่นางแบบลูกครึ่ง ตัวก็ไม่สูงมาก เราเข้าไปก็เลยค่อนข้างเด่นด้วยความแปลกประหลาดไม่เหมือนคนอื่น ตอนนั้นเราก็ถ่ายแบบเยอะนะ ถ่ายให้นิตยสารดังๆหลายฉบับ เราก็ทำไปเรื่อยๆนะ ไม่ได้คิิดอะไร ไม่ได้คิดว่าจะยึดอาชีพนางแบบเป็นอาชีพหลัก เพราะเรารู้อยู่ตลอดว่าความฝันของเราคืออะไรเราอยากเป็นอะไร



บันไดก้าวสำคัญ

ระหว่าง ที่เป็นนางแบบเราก็ยังมุ่งมั่นที่อยากจะเป็นนักธุรกิจ จำได้ว่าช่วงนั้นก็มีคนมาทาบทามให้เราเดินแบบต่างประเทศ อย่างพวกดีไซเนอร์ดังก็อยากให้เราไปอยู่ปารีส แต่ตอนนั้นด้วยความที่เราเด็ก เราก็เลยตัดสินใจไม่ไป เพราะคิดอยู่ในใจเสมอว่า อาชีพนางแบบที่เราทำ เราก็ดูชอบนะ แต่มันไม่ใช่ส่วนลึกๆที่เราชอบมากที่สุด คืออาชีพนางแบบเป็นอาชีพที่เราสนุกสนาน ทำรายได้ให้เราได้ แต่เราอยากให้มันเป็นก้าวบันไดที่ดีของเรา และทำเป็นงานอดิเรก

เวลา ผ่านไปไวเหมือนโกหก แหวบเดียวเราเป็นนางแบบมา 23 ปีแล้ว จอยก็คิดว่าถ้าจะทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เราจะทำอะไรดี ตอนนั้นก็มีหลายโปรเจ็คเข้ามาในสมองมาก ซึ่งช่วงที่จอยเป็นนางแบบ ก็มีโอกาสได้ทำงานหลายด้านไปพร้อมๆกันด้วย ทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจนำเข้า-ส่งออกไวน์ ซึ่งจากตรงนั้นมันทำให้จอยรู้สึกว่า เนื้องานที่ทำมันค่อนข้างยาก เพราะมันเป็นอะไรที่นอกไปจากตัวเรา เราต้องไปติดต่อกับโรงแรม ติดต่อกับคนกลุ่มใหม่ๆ ซึ่งเราไม่มีพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ กระทั่งเรามาจับงานด้านประชาสัมพันธ์ที่ลา เพอร์ร่า ซึ่งเราต้องติดต่อคุยงานกับคนในแวดวงเดียวกัน ทำให้เวลาจะติดต่ออะไรก็ง่ายขึ้น จากตรงนั้นทำให้เราคิดเลยว่า ถ้าจะทำธุรกิจอะไรที่เป็นธุรกิจแรกในชีวิตของตัวเอง จะต้องเป็นธุรกิจอะไรท่ีเราชอบ ถนัด ทำแล้วมีความสุข



จากความชอบลอง มาสู่การลงมือจริง

เริ่ม แรกเลยเราอยากทำธุรกิจด้านสกินแคร์ เพราะปกติจอยเป็นคนชอบดูแลตัวเองมาก ชอบลองว่าครีมตัวไหนใช้แล้วดี ทำอย่างไรเพื่อให้ผิวใส จอยสนุกกับการเห็นเทคโนโลยีใหม่ๆของผลิตภัณฑ์ความงามต่างๆบนโลก ประกอบกับจอยเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ชอบลองผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เราคิดว่าถ้าเรากินดี ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีเนี่ย มันจะปกป้องตัวเองไปเลย 5 ปี 10 ปี สังเกตว่าคนสมัยนี้จะแก่ช้า เพราะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น กินดีอยู่ดีมากขึ้น ครีมกระปุกเดียวช่วยให้หน้าตึงได้

ซึ่งจากตรง นั้น ก็ทำให้เราเริ่มคิดว่าเราจะมาทำธุรกิจด้านนี้ดีมั้ย แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือทำ เพราะจอยรู้สึกว่าเรายังไม่ชำนาญพอ เรายังไม่สามารถหาผลวิจัยมารับรองไม่ได้ เราก็เลยลองมาดต่อไปูว่า เราก็ชอบสปานะ เพราะสปาก็ถือเป็นการดูแลตัวเองอย่าหนึ่ง ประกอบกับตอนนั้นเรามาเห็นช่องทางทางธุรกิจว่า ปกติคนจะเล่นสปาก็ต้องไปตามดรงแรมเท่านั้น ซึ่งค่าใช้จ่ายในแต่ละครั้งก้ค่อนข้างแพง ดังนั้นจอยเลยคิดว่าจะมาทำธุรกิจสปา โดยเน้นให้เป็นสปาสำหรับคนทำงาน คนรักสุขภาพ ที่ราคาปานกลาง ฉีกภาพจากสปาในแบบเดิมๆ จนกระทั่งเกิดเป็น Zense of Joy

แต่ แม้ว่าสาวจอยจะงานรัดตัวยังไง เธอก็ยังไม่ลืมหันมาใส่ใจและดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างสมำ่เสมอ นอกจากการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ต่างๆเพื่อช่วยให้ผิวสวยใสแล้ว ยังรวมถึงเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกายด้วย



ใส่ใจตัวเอง เริ่มต้นง่ายๆจากการกิน

เรื่อง กินเป็นเรื่องแรกที่เราต้องดูแล เพราะเราอายุมากขึ้นระบบขับถ่ายอาจไม่ดีเหมือนก่อน อย่างแรกเราต้องกินดี กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ เริ่มจากง่ายๆอย่างเช่น ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ซึ่งแต่ก่อนจอยก็ไม่ชอบเพราะรู้สึกว่ารสชาติไม่อร่อย แต่เราต้องมาคิดว่าในข้าวกล้องมีไฟเบอร์เยอะ มีประโยชน์ต่อร่างกาย หรืออย่างของทอด แต่ก่อนเราชอบซื้อกินตามริมถนน โดยทีี่ไม่ทันคิดว่าน้ำมันที่คนขายนำมาทอดดมันสกปรกหรือเปล่า แต่เดี๋ยวนี้ก็จะพยายามหลีกเลี่ยง จอยจะพยายามเลือกกินอาหารที่สะอาด หรือไม่ก็ทำอาหารมาจากบ้าน

ความสุขจากการได้ใช้ชีวิตที่มีความสุข
ระหว่าง สนทนาจะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องว่วนตัว ทุกคำตอบและการตอบคำถามของคุณจอย จะเต็มไปด้วยรอยยิ้มเสมอ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้สาวจอย มีรอยยิ้มได้ตลอดเวลา

ความ สุขของจอย คือ การได้ใช้ชีวิตที่ีความสุข ได้สร้างสรรค์อะไรที่มีประโยชน์ อย่างทุกวันนี้ที่จอยยังมีแรงทำงาน มันไม่ใช่เรื่องของผลประโยชน์อย่างเดียว แต่มันคือความภูมิใจว่าอย่างน้อยเราได้สร้างงานให้กับ 100 คน 100 ครอบครัว สามารถทำอะไรเพื่อคืนกลับไปสู่วงการได้ ความรู้ที่เรามีสามารถทำให้เกิดมิติใหม่ของสปา จากที่เราเป็นนางแบบธรรมดาคนนึง แต่วันนี้เราสามารถสร้างธุรกิจเป็นของตัวเองได้ ซึ่งมันก็เป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง

ชีวิตคนเราก็เหมือนแชปเตอร์ของหนังสือ
ถ้า ถามว่าจอยพอใจกับชีวิตทุกวันนี้หรือยัง ต้องบอกว่าพอใจในส่วนหนึ่ง เพราะชีวิตคนเราก็เหมือนแชปเตอร์ต่างๆในหนังสือ มีหน้าที่ต้องเปิดต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งจอยก็ยังหวังว่าตัวจอยเองจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ดีกว่านี้ เพราะตอนนี้จอยยังรู้สึกว่าเรายังเหมือนอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น...

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ปราชญ์การเงิน ใน‘ไซเบอร์สเปซ’

ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีบทบาทต่อชีวิตคน จนเรียกได้ว่าเปลี่ยนพฤติกรรมในการเรียนรู้ทั้งคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่าจำนวน มากเลือกที่จะเปิดคอมพิวเตอร์เป็นอย่างแรกเมื่อถึงที่ทำงานหรือถึงบ้าน แทนที่จะเปิดหนังสือหรือเปิดโทรทัศน์เช่นเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา
พฤติกรรม ของนักลงทุนส่วนหนึ่ง ก็เริ่มเปลี่ยนไปเช่นกัน จากเดิมที่นักลงทุนจะติดตามรายงานวิเคราะห์จากสถาบันการเงิน หรือติดตามจากผู้รู้ที่เป็นที่ยอมรับในสังคม

นักลงทุนส่วนหนึ่งเลือกที่จะติดตามจาก Blog (หรือ Weblog ซึ่งเป็นบันทึกความคิดเห็นของผู้เขียนที่เรียกว่า Blogger ในเรื่องราวต่างๆ)

เมื่อมีคนนิยมเข้าไปดูมากๆ เขาก็มีการพูดถึง “ปากต่อปาก” Blog นั้นก็จะเป็นที่นิยม

ในบางครั้งสำหรับ Blog ที่มีผู้ติดตามมากๆ ผู้เขียนก็จะถูกยกระดับจนเปรียบเสมือน “ปราชญ์หรือกูรู” สำหรับผู้ที่เฝ้าติดตามความคิดเห็นต่างๆ อย่างใกล้ชิดทั้งหลาย

ปราชญ์อินเทอร์เน็ตรายหนึ่งที่ได้รับความนิยมถึงขนาดสร้างแรงสะเทือนให้กับตลาดการเงิน คือผู้ที่ใช้นามแฝงในสังคมอินเทอร์เน็ตว่า Minerva ซึ่งเป็นชื่อของเทพธิดาแห่งการค้าและความรอบรู้

เทพองค์นี้มีความสามารถในการหยั่งรู้อนาคตด้วย แต่ละบทความใน Blog ของ Minerva นี้มีผู้เข้าไปอ่านเกิน 1 แสนคนขึ้นไป รวมทุกบทความมีคนเข้าไปอ่านเกิน 40 ล้านครั้ง

Minerva โด่งดังยิ่งขึ้นหลังจากทำนายว่า Lehman Brothers จะล้มละลาย 5 วัน ก่อนหน้าที่บริษัทจะประกาศล้มละลายจริง

และยังได้ทำนายว่าค่าเงินวอนเกาหลีใต้จะอ่อนตัวอย่างรุนแรงเพียงไม่กี่วันก่อนที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น

จุดจบของ Minerva เกิดจากบทความของเขาในวันที่ 29 ธ.ค. 2551 ซึ่งระบุว่า รัฐบาล เกาหลีใต้สั่งห้ามธนาคารซื้อเงินเหรียญสหรัฐ ข่าวนี้ทำให้มีคนเทขายเงินวอนออกมาจำนวนมาก ทำให้ทางการต้องนำเงินสำรองทางการจำนวนถึง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มาพยุงค่าเงินวอนไม่ให้ดิ่งลงต่อ

และนำไปสู่การบุกค้น และจับกุม Minerva ในวันที่ 7 ม.ค. 2552 ด้วยข้อหาปล่อยข่าวลือที่ทำลายเสถียรภาพของระบบ โดยมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปี

จุดจบของ Minerva นำไปสู่การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของกูรูรายนี้ ซึ่งก็คือ นายปาร์ก เด ซอง (Park Dae-Sung) อายุ 31 ปี คนตกงานที่ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว

นายปาร์ก เด ซอง จบการศึกษาด้านการสื่อสารจากมหาวิทยาลัยใน ต่างจังหวัดของเกาหลีใต้ และมีผลการเรียนไม่โดดเด่น สิ่งที่เขานำมาเขียนในบทความนั้นได้จากการอ่านหนังสือและท่องอินเทอร์เน็ต ล้วนๆ

บทเรียนที่ได้จากกรณี Minerva นั้น มีทั้งด้านดีและด้านมืด

ด้านดี คือ แสดงถึงบทบาทของการเรียนรู้ผ่านทาง Internet ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลฟรีที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น หากใช้ให้เป็นก็จะได้ความรู้เช่นเดียวกับ Minerva ที่นำมาเขียนบทความและให้ผลการวิเคราะห์ที่นำไปใช้ได้จริง

ด้านมืด คือ ในบางครั้งผู้เขียนบทความก็ไม่เปิดเผยตัว ทำให้การนำข้อมูลไปใช้นั้นต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะในเรื่องความน่าเชื่อถือของข้อมูล (หรือในภาษาเน็ตที่ว่า AYOR-at your own risk)

นอกจากนี้ ยังเป็นช่องทางในการปล่อยข่าวลือ ที่ผู้ปล่อยสามารถหากำไรได้จากการปล่อยข่าวโดยเล็ดลอดจากการตรวจสอบของ ทางการ

สำหรับในประเทศไทยนั้น Pantip.com “ห้องสินธร” ก็มีข้อมูลค่อนข้างมาก แต่ต้องพิจารณาเรื่องที่มาและคุณภาพข้อมูลด้วย

Blog ที่ผมเห็นว่ามีคุณภาพคับแก้วที่พอแนะนำได้คือ http:// www.moneychannel.co.th/Blog/Kobsak/tabid/164/Default. aspx

สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารปัจจุบันเชิงลึก และ http://api. settrade.com/blog/nivate/โลกในมุมมองของ%20Value% 20Investor% สำหรับแง่คิดที่ดี โดยเฉพาะกับนักลงทุนประเภท Value Investor

9 วิธีแต่งห้องเล็กให้กิ๊บเก๋

Post Today - คำว่ากิ๊บเก๋ ที่จริงแล้วน่าจะเป็นคำว่ากิมมิกเล็กๆ ที่ใช้ในการแต่งห้อง เพราะเราเชื่อว่ามาถึงวันนี้สำหรับคนรักบ้าน เรื่องแนวการแต่งบ้านหลักๆ อย่างโทนสี เฟอร์นิเจอร์ ...

น่า จะเรียกได้ว่าโทนหลักลงตัวเข้ากันได้เป็นอย่างดี พอหมดหน้าที่ของอินทีเรียดีไซน์หลัก ที่เหลือก็คือเจ้าของบ้านก็ได้เวลาเอาข้าวของเครื่องใช้จับๆ วางๆ ให้เป็นระเบียบ และนี่ก็คือเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการใช้ความกิ๊บเก๋ เรียกอารมณ์ขันให้กับบ้านของเราแล้ว และต่อไปนี้คือความภูมิใจนำเสนอไอเท็มและแนวแต่งบ้านกิ๊บเก๋ที่เรารวบรวมมา แนะนำกันในวันนี้

JOBJOB 9 วิธีแต่งห้องเล็กให้กิ๊บเก๋   โปร่ง โล่ง สบาย

ก่อนอื่นจะไปแต่งห้องให้สวยเราก็ต้องทำห้องให้เรียบร้อยเสียก่อน อันที่จริงแล้วข้อนี้เราไม่จำเป็นต้องแนะนำเลยก็ได้ เพราะทุกคนต้องการความโล่ง สะอาดตา สามารถจัดได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว แต่ข้อแนะนำที่เราอยากบอกเล็กๆ น้อยๆ ก็มีอยู่ว่า ทุกอย่างที่อยู่ในห้องกวาดลงกล่องให้หมด เหลือแต่เฟอร์นิเจอร์ เพียงปัดฝุ่นจัดวางใหม่ให้เรียบร้อย แล้วคุณจะมองเห็นอะไรบ้างอย่างในห้องอย่างที่ไม่เคยเห็น แล้วเวลานั้นค่อยนำสิ่งที่กวาดลงกล่องมาจับวางเพียงชิ้นสองชิ้น จะทำให้เรารู้ว่าสิ่งไหนคือขยะและสิ่งไหนคือของแต่งบ้าน

ตู้บิลด์อิน

ตู้เสื้อผ้าแบบบิลด์อินคงเป็นของแสลงสำหรับนักแต่งบ้านสไตล์คลาสสิกและ คอนเทมโพรารีเป็นอย่างยิ่ง ไม่เป็นไรหากคุณมีบ้านเนื้อที่ 4 ไร่ แต่สำหรับคนที่มีเนื้อที่บ้านไม่พอเก็บไม้กอล์ฟ 4 ชุด ของเล่นสะสมที่ไม่อยากให้ภรรยารู้ เรายังคงแนะนำว่าบิลด์อินคือคำตอบที่ดีที่สุด ลองนึกดูสิว่าสิ่งที่ดูเหมือนผนังธรรมดา สามารถกดเลื่อนเปิดเป็นตู้เก็บสารพัดรองเท้าและของใช้รกๆ ของคุณได้เป็นอย่างดี

แน่นอนของเล่นสะสมของคุณผู้ชายก็เป็นหนึ่งในนั้น นอกจากดูเท่มีลูกเล่นกับผนังแล้ว ยังช่วยให้บ้านของเราดูกว้างขึ้นอีกด้วย แต่ก่อนทำแนะนำซื้อทริปเที่ยวต่างประเทศให้ภรรยาไปกับพ่อตาแม่ยายสักทริป แล้วคุณจะทำตู้เก็บของรักของหวงได้สะดวกโยธินยิ่งขึ้น

JOBJOB 9 วิธีแต่งห้องเล็กให้กิ๊บเก๋   ตู้จดหมายสีหวาน

ตู้จดหมายเป็นสิ่งแสดงการติดต่อสื่อสาร และการรอคอยในภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ลองนำตู้จดหมายมาพ่นสีใหม่แบบสีพาสเทลหวาน ที่บอกถึงความโรแมนติก การผจญภัย และจินตนาการสุดโลกของคุณไว้ในตู้จดหมาย เชื่อเถอะว่าใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องมองด้วยรอยยิ้มอย่างแน่นอน

แมวหัวบันได

นี่คือของแต่งบ้านยอดนิยมในยุค 80 แมวหัวกระได ทำไมต้องหัวกระไดไม่มีใครตอบได้ แล้วทำไมต้องเป็นแมวก็ไม่รู้ (สงสัยคนคิดคนแรกจะเบื่อสิงห์เฝ้าบันไดก็เลยเปลี่ยนเป็นแมวหรือเปล่า) เรารู้แต่เพียงว่ามันน่ารัก และเดี๋ยวนี้แมวก็ไม่ได้อยู่หัวกระไดที่เดียวแล้ว แมวอยู่ในทุกๆ ที่ที่เจ้าของอยากให้อยู่ บนชั้นวางของ ชั้นหนังสือ ริมสระน้ำ (เอาไว้แกล้งปลา) หรืออยู่ในใจคุณ (อูย...นั่นชื่อน้องแมว) แล้วก็ไม่ได้มีแต่แมวเพียงอย่างเดียว ยังมีสุนัข ไก่ และกบ ในอิริยาบถต่างๆ วางขายทั่วจตุจักร ลองซื้อมาแต่งบ้านดู เชื่อเถอะว่าไม่ผิดหวังสำหรับกิมมิกเล็กๆ ชิ้นนี้

หนังสือแต่งบ้าน

ยานอนหลับและยากล่อมประสาทขนานแรงที่สุดเท่าที่มีในบ้าน ระดับความแรงของยาและฤทธิ์ที่ออกขึ้นอยู่กับประเภทของหนังสือ ถ้าเป็นหนังสือตำราเรียน แค่เห็นตัวเลขบทที่ 1 เราก็หลับได้ ส่วนนิยายเรื่องโปรดจะออกฤทธิ์กล่อมประสาทว่าเราเป็นเจมส์ บอนด์ ออกล่า แวมไพร์ ทไวไลต์ โชว์ แทน อย่างไรก็ดีหนังสือนอกจากมีคุณเสริมความรู้แล้ว ยังให้คุณในการแต่งบ้าน เสริมภูมิให้เจ้าของบ้านดูดีในสายตาแขกผู้มาเยี่ยมเยือน ลองคุณไม่มีหนังสือในบ้านสักเล่มสิ แขกรับเชิญจะได้คิดว่า บ้านนี้ไม่อ่านหนังสือหนังหาบ้างเลยหรือไร JOBJOB 9 วิธีแต่งห้องเล็กให้กิ๊บเก๋

เฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์

สิ่งที่ทำได้มากกว่า 1 มักจะได้รับคำชมและความนิยมเสมอ เฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์ที่เป็นได้มากกว่า 1 อย่างโซฟาสามารถปรับเอนเป็นที่นอน สตูลวางเท้าใช้เป็นที่เก็บของได้ สิ่งเหล่านี้เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการความอเนกประสงค์ใน พื้นที่จำกัด ลองหาซื้อเฟอร์นิเจอร์แบบนี้ไว้ใช้งาน และเราจะรู้สึกชีวิตมีลูกเล่นอีกเพียบ

บ้านนก

เอาละเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากนกกระจิบมาทำรังที่หน้าต่างห้องนอน ก็เลยนึกขึ้นได้ว่านกเป็นสิ่งบ่งชี้ความสมบูรณ์ของป่าและธรรมชาติ หากเรามีนกอยู่ในบริเวณบ้าน ก็น่าจะช่วยเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้กับตัวบ้านได้มากขึ้น ระวังเรื่องหวัดนกให้ดีๆ ก็พอ

ภาพเล่าเรื่องราว

เราทุกคนต่างมีเรื่องราวการเดินทางของตัวเองเสมอ และภาพคือสิ่งที่เล่าเรื่องราวเหล่านี้ได้ดีที่สุด ลองนำภาพการเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ของคุณติดไว้ตามที่ต่างๆ ของบ้าน ไล่เรื่องราวตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน จะทำให้แขกทุกคนรู้จักความเป็นตัวตนของคุณมากยิ่งขึ้น แล้วอย่าลืมปล่อยภาพหลุดออกมาบ้างละ อย่างภาพสวีตริมสระน้ำหลังบ้าน หรือภาพเปิ่นๆ จะช่วยทำให้ภาพลักษณ์ของเราดูเป็นธรรมชาติน่าคบหามากขึ้น

JOBJOB 9 วิธีแต่งห้องเล็กให้กิ๊บเก๋   แต่งบ้านสไตล์ญี่ปุ่น

รู้นะว่าทุกคนมีคำถามก็คือ ทำไมต้องสไตล์ญี่ปุ่น ทำไมไม่เป็นแบบไทย ก็แบบไทยน่ะหาแต่งยาก แล้วรบกวนสไตล์แต่งโทนหลักของบ้านอย่างรุนแรง ส่วนสไตล์ยุโรปก็ราคาแพง ดังนั้นแนวเอเชียอย่างจีน หรือ ญี่ปุ่น น่าจะเหมาะสำหรับการแต่งบ้านในยุคปัจจุบัน เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นแนวการแต่งบ้านในพื้นที่เล็ก รวมทั้งมีราคาไม่แพงอีกด้วย

แล้วอะไรล่ะที่เรียกว่าการแต่งสไตล์ญี่ปุ่น ลองหาซื้อของแต่งบ้านที่ร้าน 60 บาทดูสิรับรองมีครบ สิ่งสำคัญของสไตล์ญี่ปุ่นก็คือเน้นน้อยชิ้น และเคลื่อนย้ายได้ง่าย และที่ขาดไม่ได้คือไม้ไผ่

ทั้งหมดนี้ก็คือ 9 แบบ 9 สไตล์ที่เป็นกิมมิกเล็กๆ ในการแต่งบ้านให้กิ๊บเก๋ เป็นสีสันที่บ่งบอกความเป็นตัวของตัวเอง อย่างที่ใครก็ออกแบบให้คุณไม่ได้

New Start บุคลิกดีๆ

ภาพรวมทางเศรษฐกิจและสังคมจะติดๆ ขัดๆ ไปทั่วโลก ไม่ราบรื่น ไม่น่ารื่นรมย์นัก ยังไม่รวมปัญหาเรื่องการว่างงานที่กำลังคุกคามขวัญกำลังใจของใครอีกหลายคน ปีใหม่นี้ ในฐานะนักพัฒนาบุคลิกภาพ จึงขอเสนอแนวทางดีๆ เพื่อรับมือกับปี “วัวดุ”

JOBJOB New Start บุคลิกดีๆ สู้ปี ‘วัวดุ’


New Start เริ่มต้นใหม่ ให้ชีวิตสดใส มั่นคง และมีความสุขได้ตามอัตภาพดังนี้ค่ะ

N = Now

ให้ความสำคัญกับทุกสิ่งที่จะคิด จะทำ จะพูด หรือจะแสดงออกในปัจจุบันขณะให้มากๆ บางท่านอาจใช้คำว่า “อยู่กับปัจจุบันขณะ” ซึ่งหมายถึง อย่าทุกข์กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจนกลายเป็นคนช่างวิตกกังวลหรืออยู่อย่างคนอม ทุกข์ ทำให้ไม่ปลอดโปร่ง ไม่สดชื่นแจ่มใสอย่างที่คนคนหนึ่งพึงจะเป็น เช่นเดียวกับอดีตที่ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ก็อย่าไปขุดกลับมาเป็นทุกข์เป็นร้อน จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด ให้ดีกว่าที่เคยทำ เพื่อให้สิ่งที่เราทำอย่างดีที่สุด คิดอย่างดีที่สุด พูดอย่างดีที่สุดในวันนี้ นำไปสู่สิ่งที่ดียิ่งกว่าในวันข้างหน้า ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นนั้น ขอให้เคารพอดีตของกันและกัน ไม่ขุดคุ้ยขึ้นมาประจาน ดูถูก หรือทำให้รู้สึกแย่ แต่ให้โอกาสต่อกัน มีความหวังในกันและกัน ว่าจะช่วยทำสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นได้

E = Empathy

ความเห็นอกเห็นใจเป็น “พลังชีวิต” ที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนฝูง สมาชิกในที่ทำงานเดียวกัน ตลอดจนเพื่อนร่วมสังคม จะต้องรู้จักเป็นกำลังใจและมีกำลังใจให้กันและกัน ดีกว่าบั่นทอนกำลังใจของกันและกัน ไม่ว่าในยามสุขหรือยามทุกข์ กำลังใจหรือความเห็นอกเห็นใจกันนั้น เป็นยาชุบชูใจ เป็นไฟหรือ “กำลัง” ที่ช่วยขับเคลื่อนชีวิต แม้ต้องเจอกับปัญหาหนักหน่วง ก็แข็งแรงพอที่จะเผชิญหน้าและกัดฟันเพื่อผ่านให้พ้นได้ ในปีวัวดุนี้ จงให้กำลังใจตัวเอง และมีความเห็นอกเห็นใจต่อกันให้มาก ใส่ใจต่อกันให้มาก เพื่อเป็นบ่อเกิดของความสุขเล็กๆ เป็นความสุขที่เหมือน “ทุนตั้งต้น” ให้ชีวิตมีแรงดั้นด้นก้าวผ่านปัญหาที่จะเกิดมารุมเร้าเราได้

W = Wish

ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่มี “ความมุ่งมาดปรารถนา” ซึ่งไม่ใช่แค่ความปรารถนาส่วนตัว แต่ต้องมีความปรารถนาดีต่อคนอื่นๆ ด้วย ใครก็ตามที่มีความมุ่งมาดปรารถนาในทางที่ดี ความมุ่งมาดปรารถนานั้นจะเป็นแรงเข็นหรือแรงขับชีวิตให้เคลื่อนไปข้างหน้า เข้าหา “โกล” (Goal) หรือความปรารถนานั้น ไม่อยู่ไปวันๆ อยู่อย่างเดิมๆ โดยไม่กระตือรือร้น คนที่มีความมุ่งมาดปรารถนา ไม่ว่าในยามปกติหรือยามวิกฤต เขาจะพบ “โอกาสดีๆ” และใช้โอกาสดีๆ นั้น ทำให้มีผลดีๆ เกิดขึ้นแก่ชีวิตตัวเองและคนรอบข้างได้

S = Save

เก็บออมถนอมใช้ ใช้เงินอย่างรู้คุณค่า ขยันหาเงิน แบ่งเงินที่หาได้เพื่อการใช้จ่าย ลงทุน และเก็บออมอย่างมีคุณภาพ อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าเกี่ยงงอน อย่าเลือกงาน ในสถานการณ์ที่ตลาดแรงงานมีแรงงานมากกว่าการจ้างงาน การทำงานอย่างมีคุณภาพนับเป็นการเก็บออมหรือการสร้างความคุ้มครองให้แก่ตัว เองได้ดีประการหนึ่ง ส่วนการหารายได้เพิ่มเติมด้วยตัวเองก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง การควบคุมการใช้จ่ายที่เกินตัวและเกินจำเป็น เป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องจัดการให้ดี แม้ไม่มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่หากควบคุมหรือลดรายจ่ายได้ ชีวิตก็ไม่สั่นคลอนมากนัก

T = Training

อย่าหยุดเรียนรู้และพัฒนาตนเอง คนที่มีอุปนิสัยหรือบุคลิกภาพเป็นคนใฝ่รู้ แสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา จะมีแต้มต่อหรือเป็น “ตัวเลือก” ที่ใครๆ ก็อยากจะเลือก ร่วมงานกับใครก็เป็นประโยชน์แก่เขา หรือแม้ลำพังตัวเอง ก็สามารถนำความรู้ที่หมั่นแสวงหามาสร้างประโยชน์แก่ชีวิตได้ มีโอกาสจึงควรแสดงหาความรู้ อ่านให้มาก คิดให้เป็น วิเคราะห์ให้เก่ง และฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนทักษะด้านต่างๆ ให้แก่ตัวเอง เพื่อให้มีคุณสมบัติที่ดีและเป็นตัวเลือกที่ดีอยู่เสมอ

A = Alert

กระตือรือร้นเข้าไว้ แม้สภาพทั่วไปจะน่าหดหู่ ซึมเซา เศร้าโศก ความกระตือรือร้นในตนเองเป็นพลังด้านบวก เป็นแรงเสริมที่จะทำให้เรากล้าฝัน มีความทะเยอทะยานด้านดีที่เป็นไปได้ ไม่เกินจริง ไม่เพ้อฝัน และพร้อมที่จะผลักดันฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้ ด้วยความรู้ความสามารถและความอุตสาหะมานะที่มีความกระตือรือร้นของเรายัง สามารถพยุงหรือฉุดให้คนรอบข้างตื่นตัว มีความรู้สึกทางบวก และพร้อมจะก้าวเข้าสู่วงกระเพื่อมของความกระตือรือร้นไปด้วยกันด้วย แทนที่จะจมอยู่กับความทุกข์ ท้อ หรือความรู้สึกด้านลบทั้งหลาย

R = Rethinking

โลกเปลี่ยนไป สถานการณ์เปลี่ยนไป เกมก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย จะมัวคิดอะไรและทำอะไรอย่างเดิมๆ บางทีก็ไม่ได้ผล ต้องเป็นคนที่ทันเกม ทันการณ์ คิดอ่านอย่างสร้างสรรค์ได้เสมอ ในโลกปัจจุบัน ความรู้เดิมๆ ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว อย่าคิดว่าสิ่งที่เคยร่ำเรียนมายัง “เพียงพอ” ต่อการใช้งานอยู่ บางคนเรียนจบมาเป็นสิบๆ ปี ไม่มีความรู้ใหม่ๆ เข้ามาในตัวเองเลย ก็ตามโลกไม่ทัน คิดอย่าง “ขาดความสร้างสรรค์” (Non Creative Thinking) และถดถอยไปอยู่แถวหลังๆ ไม่ใช่คนระดับแถวหน้าอีกต่อไป โปรดหาความรู้เพิ่มเติมให้มาก มีทักษะการคิดที่ดี มีการทำงานประสานกับคนอื่นให้คล่องแคล่ว มนุษยสัมพันธ์ดี เพื่อที่การคิดใหม่ ทำใหม่ มุมใหม่ของเรา จะได้รับความสนใจ และนำไปช่วยกันทำ จนปรากฏผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพได้

T = Time

รู้คุณค่าของเวลา ใช้เวลาให้คุ้มค่า เวลาเป็นของมีค่า มีความรู้ มีปัญญา แต่ไม่บริหารเวลาให้เกิดประสิทธิภาพ ความรู้ที่มีปัญญาที่มีก็สูญเปล่า เวลาคือเครื่องตัดสินคน ดั่งคำโบราณที่กล่าวว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” ใช้เวลาของทุกๆ วันสร้างสรรค์สิ่งที่ดี ทำให้ทันเวลา ทำให้คุ้มกับเวลาที่มี แล้วชีวิตจะดีขึ้นได้ด้วยการ “ทำจริง” ไม่ใช่แค่คิดจะทำ

ทั้งหมดนี้ ดิฉันปรารถนาว่าจะเป็น “แผนที่” เล็กๆ เพื่อท่านผู้อ่านได้ใช้เป็นแนวทางในการเผชิญหน้ากับปีฉลู ที่ใครๆ มองแล้วก็รู้ว่าเป็นปีที่ “ไม่ง่าย” สำหรับทุกๆ คน ขอให้แข็งแรง สดใส มีกำลังใจที่จะพบโอกาสในวิกฤตนะคะ

เสน่ห์...สะกดใจ

คนทุกคนอยากมีเสน่ห์ เพราะใครๆ ต่างก็ต้องการ “แรงดึงดูด” ที่จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสนใจ ประทับใจ และให้ความสำคัญนับตั้งแต่เกิดความรู้สึกนั้นเป็นต้นมา ...

เสน่ห์ เป็นพลังแฝงเร้นที่สำคัญ ที่ทำให้คนเรามีชีวิตอย่างราบรื่น ไร้อุปสรรค และเป็นที่รักของคนอื่นๆ ทว่าสิ่งที่ควรรู้ก็คือ เสน่ห์เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจและสร้างหรือปรุงให้เกิดขึ้น

JOBJOB เสน่ห์...สะกดใจ

จะทำอย่างไรดีคะ ให้ตัวเองมีเสน่ห์ ขอแนะนำดังต่อไปนี้ค่ะ

1.สะกดด้วยรูปกาย

ห้าวินาทีแรกที่คนจะรู้สึกในทางบวกต่อกันก็คือ คนคนนั้นช่างเป็นคนที่ “น่ามอง”

น่ามองที่ว่า ไม่ได้แปลว่าต้องสวยเลิศเลอ หรือหล่อเร้าใจเสมอไป แค่เพียงมีรูปร่างที่ดี ได้สัดได้ส่วน มีผิวพรรณที่ผ่องใส และแลดูสะอาดสะอ้าน เท่านี้ก็เป็นเบื้องต้นของการสะกดใจคนใน 5 วินาทีแรกแล้วค่ะ

จะรูปร่างดีได้ ก็ต้องเริ่มต้นจากการควบคุมน้ำหนัก เพื่อให้รูปร่างไม่บางหรือหนาจนเกินไป และให้มีกล้ามเนื้อที่กระชับ แข็งแรง และเปล่งปลั่งตามธรรมชาติ จากนั้นก็ให้ใส่ใจต่อการรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ ในปริมาณที่ร่างกายต้องการ ไม่ใช่ตามใจปาก คือ รับประทานเพราะอร่อย จึงรับประทานเข้าไปมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ หรือขัดใจปาก คือ พยายามควบคุมการกินเสียจนร่างกายสูญเสียโอกาสที่จะได้รับพลังงานอย่างเพียง พอและสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน อาจดูผอมบางก็จริง แต่ผิวพรรณจะแห้งกร้าน เหี่ยว ไม่มีน้ำมีนวล และในอนาคตอาจเกิดโรคภัยเบียดเบียน เพราะร่างกายขาดภูมิต้านทาน

ดังนั้น ต้องใส่ใจอาหารทั้งสามมื้อ โดยรับประทานในสัดส่วนที่พอเหมาะพอดีกับกิจกรรมประจำวัน รับประทานให้หลากหลาย ไม่เลือกรับประทานเฉพาะสิ่งที่ชอบซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้น และต้องเฉลี่ยให้ได้รับสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ คือ เนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ ข้าวและธัญพืช หรือแป้ง ที่ไม่ขัดสีจนขาดวิตามินบีที่จำเป็นต่อร่างกาย ผักสัก 3 ชนิดขึ้นไปในแต่ละวัน ไขมันซึ่งจะช่วยทำละลายวิตามินบางชนิดเพื่อให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ และผลไม้สัก 2 ชนิดเป็นอย่างน้อย โดยเลือกผลไม้ที่ไม่หวานจัดหรือมีแป้งมาก

2.สะกดด้วยการแต่งกาย

เมื่อมีรูปร่างที่ดีเป็นทุน ที่เหลือก็เป็นกำไร

เลือกเสื้อผ้าให้ดูดี คือ เข้ากับฐานะ การงาน อาชีพ และต้องสะท้อนความมีรสนิยมด้วย ที่เหลือก็เลือกแต่งกายให้มีความร่วมสมัย ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป พอดีๆ ชนิดกำลังน่ามอง โดยไม่ถูกแซวว่า “เยอะ” หรือ Fully Furnish คืออุดมไปด้วยเฟอร์นิเจอร์เสียจนรกรุงรัง

รสนิยมของเสื้อผ้าดูที่ตรงไหน ดูที่แบบก่อนเลยค่ะ แบบต้องร่วมสมัย ไม่ตกยุค และเข้ากับรูปร่างของตัวเอง ไม่ทำให้รูปร่างที่ดีกลายเป็นอวบอ้วน เทอะทะ หรือหลวมโคร่ง และต้องเสริมความปราดเปรียว เพรียว โปร่ง และกระฉับกระเฉง

จากนั้นดูที่สีและลวดลาย คนที่สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์สีกับลวดลายของเสื้อผ้าทั้งชุดให้น่ามองได้มาก เท่าไร ก็จะยิ่งมีเสน่ห์สะกดตาสะกดใจได้มากเท่านั้น

ส่วนเรื่องราคาไม่ต้องห่วงเลยค่ะ ราคาไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้าหรือยี่ห้อ แต่อยู่ที่เมื่อใส่แล้วเสริมความดูดีให้คุณมากน้อยแค่ไหน ถ้าดูดีมากราคาของความน่ามองก็มากตาม ก็เลือกเอานะคะ ว่าจะแพงที่เสื้อผ้า หรือสูงค่าตรงความน่ามอง

3.มาดดี อิริยาบถดี

บางคนรูปร่างดี แต่งตัวดี แต่ไม่มีมาด ความสง่าน่ามองก็ถดถอยไปเลย คนเราจึงต้องมีมาดกันสักเล็กน้อย ไม่ต้องเยอะ เพราะยิ่งเยอะจะยิ่งขัดหูขัดตา

“มาด” ไม่ใช่กิริยาที่ต้องประดิษฐ์คิดค้นขึ้นใหม่ เป็นท่วงท่าปกติที่เราๆ ท่านๆ คาดหมายว่าคนทุกคนน่าจะมีกัน เช่น ยืน เดิน นั่ง ยิ้ม พูดจาต่อกันด้วยความมั่นใจ มีความเชื่อมั่นที่จะเคลื่อนไหว หรือพบปะพูดจาอย่างคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง และดูสบายตา ไม่เก้อๆ เขินๆ หรือมั่นใจจนเกินเหตุ

มาดมักมาคู่กับคำว่า “อิริยาบถ” หลายคนเข้าใจว่ามาดคือการเต๊ะท่า ถ้าเช่นนั้นก็ควรหันมาใส่ใจอิริยาบถเพิ่มเติมกันอีกสักคำ

อิริยาบถ ก็คือ การเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น แต่ระมัดระวัง ใส่ใจ โปรดทราบว่าทุกๆ การเคลื่อนไหวนั้นมีความหมายในตัวเอง เพราะอิริยาบถนับเป็น “ภาษากาย” อย่างหนึ่ง ซึ่งจะจับใจคนได้ ต้องเป็นภาษากายที่สื่อสารทางบวก เช่น มีรอยยิ้ม สัมผัสได้ถึงความจริงใจและความเคารพ เป็นต้น

4.พูดจาดี มีประเด็น

ว่ากันว่าราคาของคนอยู่ที่การพูดจานี่เอง ดูดีมาตลอดทั้งสามข้อ อย่าต้องมาตกม้าตายที่การพูดจานี่เลยนะคะ
การ พูดจาเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนควบคู่ไปกับการศึกษาคน หรืออ่านคนให้ขาด ว่าคนลักษณะนี้เราควรพูดจาอย่างไร ถือเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ลุ่มลึก ซึ่งในอนาคตดิฉันจะค่อยๆ ขยายความให้อย่างละเอียดค่ะ

แต่เบื้องต้น การพูดจาต้องมีความเป็นมิตร ซึ่งดูได้จากน้ำเสียงและการเลือกใช้ถ้อยคำ ต้องพูดจาน่าสนใจ ไม่ใช่มีแค่เรื่องดินฟ้าอากาศหรือข่าวสารสัพเพเหระ คุยด้วยแล้วสนุก มีประเด็น ที่ฟังแล้วจับใจ ได้ประโยชน์ แต่ต้องไม่ล้ำไปถึงขั้น “อวดภูมิ”

การพูดจาจึงต้องฝึกฝน 2 ประเด็นที่สำคัญด้วยกัน คือ พูดให้น่ามอง กับพูดให้น่าฟัง ใครทำได้ทั้งสองอย่าง รับรองประสบความสำเร็จ

5.จริงใจ ไม่เสแสร้ง

ไม่มีอะไรที่มนุษย์จะรู้สึกรักกันได้เท่ากับการสัมผัสได้ว่า คนคนนี้จริงใจกับเรามาก เป็นคนเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่มีอะไรซ่อนอยู่ข้างหลัง เสน่ห์ที่จะสะกดใจคนแปลกหน้าให้พัฒนามาเป็นคนรู้จัก แล้วกลายเป็นมิตรแท้ ก็คือความจริงใจต่อกันนี่เอง

ทั้งหมดนี้เป็นหลักการกว้างๆ ขั้นต้น สำหรับคนอยากมีเสน่ห์ ส่วนการขยายความเพื่อลงลึกถึงทักษะที่ควรฝึกฝน ต้องติดตามกันต่อไปนะคะ

ชาร์จแบตพลังใจ แหล่งกำเนิด‘พลังชีวิต’

Post Today - ปี 2551 ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรกันบ้าง? ภาวะวิกฤตทางการเมืองและเศรษฐกิจพ่นพิษใส่ชีวิตและธุรกิจของคุณบ้างหรือ เปล่า? บางคนบอกว่า ปี 2552 นี้จะเป็นปีที่เผาจริง หลายท่านจึงรู้สึกกังวลใจตั้งแต่ต้นปี... ...

แต่ อย่าเพิ่งท้อแท้ ห่อเหี่ยว หมดกำลังใจกันไป สำหรับคนที่พลังกาย พลังใจเริ่มจะถดถอย วันนี้เรามีข้อคิดดี รวมทั้งวิธีการชาร์จแบตพลังใจจากผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่มากด้วยพลังอันมหาศาลผู้ได้รับเชิญไป “ปลุกยักษ์” สร้างแรงบันดาลใจ ปลุกพลังชีวิตให้กับหน่วยงานและองค์กรขนาดใหญ่มาอย่างมากมาย สิริลักษณ์ ตันศิริ นักโมติเวท หรือนักสร้างแรงบันดาลใจหญิงคนแรกของเมืองไทย และวิทยากรการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการช่วยดึงศักยภาพที่มีอยู่ภายในตัว “ปลุกยักษ์” สร้างแรงบันดาลใจให้กับบุคลากรขององค์กรขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงต่างๆ อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ซีพี 7-11 โอสถสภา อเมริกันสแตนดาร์ด บริษัทประกันชีวิตหลายแห่ง และบริษัทธุรกิจเครือข่ายขายตรงอีกหลายค่าย ฯลฯ


JOBJOB ชาร์จแบตพลังใจ แหล่งกำเนิด‘พลังชีวิต’  สิริลักษณ์ ตันศิริ

ปัจจุบัน “โค้ชสิริลักษณ์” กำลังทำผลงานหนังสือ “เมื่อยักษ์ตื่น” สร้างกำลังใจเล่มแรกในชีวิต เตรียมพบกันได้บนแผงหนังสือทั่วไปในเร็วๆ นี้

เกี่ยวกับการสร้างกำลังใจ ชาร์จแบตชีวิต โค้ชสิริลักษณ์บอกเราทุกคนให้เริ่มจากวิธีคิด

“อันที่จริงแล้วความสุขใจหรือความทุกข์ใจขึ้นอยู่กับวิธีคิด... คิดถูกเป็นสุข คิดผิดเป็นทุกข์... เมื่อไรที่เราเป็นทุกข์ แสดงว่าเราคิดผิดแล้ว... ต้องพลิกวิธีคิดใหม่!!

ไม่ว่าเราไปเจอกับผู้คน สถานการณ์ หรือสิ่งแวดล้อมแบบใดก็ตาม มันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองและวิธีคิดของเราทั้งสิ้นว่า เราจะมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไร... ถ้าเรามองมันในแง่บวก ชีวิตของเราก็ยังคงมีพลัง แต่เรามองมันในแง่ลบ ชีวิตของเราก็จะหมดพลัง! ..

แต่ก่อนอื่นเราต้อง “มีสติ” ในการใช้ชีวิต “มีสติ” ในการคิดพิจารณาสิ่งต่างๆ คำว่า “มีสติ” คือ การรู้เท่าทันอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง บางครั้งเราอาจจะคิดลบ หรือคิดฟุ้งซ่าน หรือกลัวไปเกินเหตุ ถ้าเรามีสติ ไม่ตื่นตระหนกเกินไป ค่อยๆ คิดหาทางแก้ไข เราก็จะสามารถผ่านภาวะความยากลำบากไปได้

หลักคิดแบบทรงพลัง!!!

ข้อคิดและแรงบันดาลใจดีๆ เพื่อเป็นแนวทางในการ “ชาร์จแบตพลังใจ” กลับขึ้นมาใหม่ทุกครั้งที่ห่อเหี่ยว ท้อแท้ หมดกำลังใจ หรือจิตตก ซึ่งโค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ มักนำไปพูดในคอร์ส “ปลุกยักษ์” อยู่เสมอๆ นั้น ขอแนะนำเป็นตัวอย่างเรียกน้ำย่อยสัก 6 ข้อ มีดังนี้

1.เวลาที่เราเป็นทุกข์ ให้ดูคนที่แย่กว่าเรา

ให้รู้ไว้เลยว่าเราไม่ใช่คนที่เจอเรื่องเลวร้ายที่สุด อาจจะมีใครบางคนได้รับบางสิ่งบางอย่างที่แย่กว่าเราอยู่ ถ้าเราคิดว่าธุรกิจของเราย่ำแย่กำไรหดหาย แต่อาจมีบางธุรกิจที่ขาดทุนด้วยซ้ำ หรือถ้าเราขาดทุน ก็อาจมีบางธุรกิจที่ขาดทุนมากกว่าเราอีก ถ้าให้เราขาดทุนมากเท่าเขา เราเอาไหม? หลายคนบ่นว่างานหนักมากกว่าเดิม ลองคิดดูว่า มีงานทำกับไม่มีงานทำ อยากจะเอาแบบไหน?

2.ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อให้ประโยชน์กับเราไม่วันนี้ก็วันหน้า

หลักคิดแบบนี้ทรงพลังมาก!!... การที่เราเจอความยากลำบากในชีวิต มันอาจจะทำให้เราเป็นคนขยันมากขึ้น มุ่งมั่นอดทนมากขึ้น ประหยัดอดออมมากขึ้น ใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ความยากลำบากเหล่านี้อาจสร้างนิสัยใหม่ที่ดีให้กับเราก็ได้!

JOBJOB ชาร์จแบตพลังใจ แหล่งกำเนิด‘พลังชีวิต’  3.ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส

เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังของเมืองไทย ได้เชิญโค้ชสิริลักษณ์ไปเป็นวิทยากรสร้างพลังและแรงบันดาลใจให้บริษัท เนื่องจากผู้บริหารเป็นห่วงว่า ภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ว่าจะหนักกว่าเดิม จึงอยากให้พนักงานตื่นตัว ช่วยกันเตรียมรับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งในฐานะวิทยากร สิริลักษณ์เปรียบเปรยว่า เวลาที่ “ฝนตกหนัก” คนส่วนใหญ่ก็จะ “หลบฝน” อยู่ในบ้านหรือในอาคาร ไม่อยากออกไปไหน แต่คนที่มองเห็นโอกาสเขาจะ “ขายร่ม” ซึ่งการเวิร์กช็อปก็นับว่าเป็นโอกาสดีที่ได้พัฒนาศักยภาพบุคลากรและสร้าง พลังใจให้แข็งแกร่ง ไม่แน่ว่าบริษัทอาจได้เพชรเม็ดงามฉายแสงออกมาหลายเม็ดก็ได้!

ขอให้ “ชาร์จแบตพลังใจ” ตลอดเวลา

4.ความหวังทำให้เรามีพลังและกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ

แต่อย่าคาดหวังในผลลัพธ์ว่ามันจะต้องออกมาอย่างที่ใจเราอยากให้เป็น เราควบคุมการ “สร้างเหตุ” ได้ แต่เราอาจจะควบคุม “ผลลัพธ์” ของมันไม่ได้ เช่น ถ้าเราปลูกต้นไม้ แน่นอนว่าเราต้องหวังจะให้มันเติบโต ออกดอกออกผลดกๆ มาให้เราเก็บเกี่ยว สิ่งที่เราทำได้ก็คือ เอาใจใส่ดูแลรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยให้ดีที่สุด ส่วนผลไม้จะออกมาเมื่อไรนั้น เราอาจจะควบคุมไม่ได้ ถ้าเราจ้องทุกวันว่า “ผลไม้...เอ็งควรจะออกลูกมาให้ข้าได้แล้ว” เราจะเป็นทุกข์ไหมคะ? โค้ชสิริลักษณ์ทิ้งคำถามให้ขบคิด

5.ใช้เวลาดูปัญหา 5% อีก 95% คิดหาวิธีแก้ไข

อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับปัญหา ให้ใช้เวลา 95% คิดหาทางออกจากปัญหาจะดีกว่า!! ให้ถามตัวเองว่า “ฉันจะแก้ไขเรื่องนี้ให้ดีขึ้นอย่างไรได้บ้าง?” นักธุรกิจบางท่านกลุ้มใจว่า ผู้บริโภคมีกำลังซื้อน้อยลง ถ้าเอาแต่นั่งกลุ้มใจคงช่วยอะไรไม่ได้ ลองคิดดูซิว่า เราสามารถทำอะไรได้บ้าง? เช่น มองหาลู่ทางทำการตลาดแบบใหม่ อาจจะปรับเปลี่ยนวัตถุดิบให้เป็นเกรดรองลงมา แล้วทำราคาขายต่ำลง เพื่อที่ผู้บริโภคจะสามารถซื้อได้ ฯลฯ

6.ช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่นเยอะๆ แล้วเราจะรวย!!

นี่คือสุดยอดเคล็ดวิชานะคะ! โค้ชสิริลักษณ์กล่าวย้ำ โลกนี้เต็มไปด้วยปัญหา ถ้าเราสามารถช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่นได้ เขาก็จะเอาเงินมาให้เรา!... ส่วน “ความรวย” ขึ้นอยู่กับ “คุณภาพ” ของสิ่งที่เรามอบให้ และ “ปริมาณ” ของคนที่เราได้ช่วยเหลือ!!... ดังนั้นช่วย “แก้ปัญหา” ให้ผู้อื่นด้วย “คุณภาพ” ระดับมืออาชีพและช่วยให้ได้ “ปริมาณ” เยอะๆ!! .. รวยแน่นอนค่ะ!! JOBJOB ชาร์จแบตพลังใจ แหล่งกำเนิด‘พลังชีวิต’

สุดท้าย โค้ชสิริลักษณ์ เน้นย้ำว่า

“จำไว้นะคะว่า ...พลังใจสำคัญที่สุด!!...” ไม่ว่าเราเจอวิกฤตอะไรในชีวิต ขอให้เรามี “พลังใจ” ที่ดีอยู่เสมอ ความรู้และความสามารถของเราจะไม่มีความหมาย ถ้าเราไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร หรือถ้าถึงขนาดท้อแท้สิ้นหวัง ยิ่งทำอะไรไม่ได้ใหญ่เลย

ดังนั้น ขอให้ “ชาร์จแบตพลังใจ” ของตัวเองตลอดเวลา และคำพูดที่วิทยากรชื่อดังกล่าวทิ้งท้าย ...โชคดีในปีฉลูทุกท่านค่ะ!!...

สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างกำลังใจ ชาร์จแบตพลังใจ เตรียมพบกับหนังสือชื่อ “เมื่อยักษ์ตื่น” ผลงานจาก สิริลักษณ์ ตันศิริ ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีพลังยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ในตัว และพร้อมจะดึงพลังยิ่งใหญ่ที่แฝงตัว ซ่อนเร้นอยู่ในตัวคุณให้ออกมาเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ สร้างความสำเร็จให้กับชีวิตต่อไป รู้จักกับเธอได้ที่ www.CoachSiriluck.com

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เมื่อกายจิตพร้อม(ก็)สร้างลูกประเสริฐได้

Post Today - หากเราพิจารณาข่าวต่างๆ ตามหน้าสื่อทุกวันนี้ ...

JOBJOB เมื่อกายจิตพร้อม(ก็)สร้างลูกประเสริฐได้เรา มักพบแต่ข่าวด้านลบมากกว่าข่าวสารด้านบวก คาดว่าคำถามหนึ่งที่น่าจะผุดขึ้นมาในใจของพ่อแม่ทุกคู่คือ พวกเขาจะสามารถให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูกน้อยที่เกิดมาให้มีคุณภาพ และเป็นคนดีของสังคมได้อย่างไรท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมปัจจุบัน เพราะสิ่งสำคัญของการเป็นมนุษย์นั้นไม่ได้อยู่ที่ความฉลาดเฉลียวหรือร่างกาย ที่แข็งแรงสมบูรณ์เหนือผู้อื่น หากแต่อยู่ที่จิตใจอันดีงามพร้อมด้วยสติปัญญาในการมองโลกและปฏิบัติตนจึงจะ นับได้ว่าเป็นมนุษย์ผู้มีคุณค่า

แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต จากเสถียรธรรมสถาน ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในงานเสวนา “กายพร้อม ใจพร้อม สร้างอภิชาตบุตร” เปิดตัวศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตรของโรงพยาบาลนครธนว่า ชีวิตมนุษย์ทุกคนล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปตามกรรมของตนเอง ทั้งที่เป็นกุศลกรรมอันดีงามและอกุศลกรรมด้านลบ สังคมจึงสามารถแปรเปลี่ยนไปได้ทั้งในด้านดีและร้าย ตราบเท่าที่มนุษย์ทุกคนยังมีสถานะเป็นองค์ประกอบของสังคมโดยรวม ซึ่งในจุดนี้คุณแม่เชื่อว่าผู้เป็นพ่อแม่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการจรรโลง สังคมให้ดียิ่งขึ้นได้ด้วยการมอบสิ่งดีงามให้บุตรของตนแต่แรกเริ่มปฏิสนธิ

ขึ้นชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนย่อมรักและปรารถนาอยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุด เสมอเป็นธรรมดา ของสิ่งใดที่ว่าดีก็จะเสาะแสวงหามาให้ สวดมนต์ภาวนาครั้งใดก็จะอธิษฐานจิตขอให้ลูกอยู่รอดปลอดภัย มีสุขภาพแข็งแรง ขอให้มีแต่สิ่งดีงามเกิดขึ้นกับลูกของตน และแน่นอนว่าพ่อแม่ทุกคนย่อมอยากเห็นลูกของตนเติบโตขึ้นมาได้ดียิ่งกว่าตน หรือเรียกได้ว่าเป็น “อภิชาตบุตร” ผู้มีคุณสมบัติสูงยิ่งกว่าบิดามารดา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากอำนาจแห่งรักทั้งสิ้น

คุณแม่กล่าวว่า การจะสร้างอภิชาตบุตรให้เกิดขึ้นนั้นไม่จำเป็นว่าพ่อแม่จะต้องรอให้ลูกคลอด และเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นก่อนจึงจะเป็นได้ แต่แท้ที่จริงแล้วคุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งของผู้เป็นอภิชาตบุตรนั้นจะต้อง เป็นบุตรที่สามารถพาพ่อแม่ดำเนินชีวิตเข้าสู่แนวทางแห่งธรรมได้ ดังนั้นในมุมมองของคุณแม่ การสร้างอภิชาตบุตรจึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ทุกคนสามารถกระทำได้ตั้งแต่แรก เริ่มปฏิสนธิตั้งครรภ์

นอกเหนือไปจากการเตรียมสภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์เหมาะสมกับการปฏิสนธิและตั้งครรภ์แล้ว ผู้เป็นพ่อแม่ยังJOBJOB เมื่อกายจิตพร้อม(ก็)สร้างลูกประเสริฐได้จะ ต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะปรับสมดุลจิตใจ ตั้งมั่นอยู่ในกุศล ทำความดี ละความชั่ว รักษาศีลให้กายใจบริสุทธิ์ เตรียมความพร้อมเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก เมื่อพ่อแม่เปี่ยมด้วยกุศลกรรม เด็กก็จะแข็งแรงสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เรียกได้ว่า ลูกเป็นพลังใจผลักดันให้พ่อแม่ทำแต่ความดีตั้งแต่อยู่ในครรภ์ สิ่งนี้ก็ถือได้ว่า เด็กคนนั้นเป็นอภิชาตบุตรแล้ว

“การที่เด็กหนึ่งคนถือกำเนิดขึ้นมาในครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นพระในบ้าน โอกาสที่เด็กจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้เจริญด้วยอริยะย่อมสูงขึ้น จึงนับเป็นการสร้างโลกให้ดีขึ้นและเต็มไปด้วยกุศลกรรมจากจุดเริ่มต้นด้วยการ สรรค์สร้างเด็กให้ดีตั้งแต่พื้นฐาน บ้านจึงเป็นที่สร้างกระแสอริยะสำคัญในสังคม โดยมีพ่อแม่เปรียบเสมือนพระในบ้าน เช่นเดียวกับพระนางผุสดีในเวสสันดรชาดก ซึ่งในภายหลังได้เกิดเป็นพระนางสิริมหามายาในเวลาต่อมา ก่อนจะถือกำเนิดเป็นพระพุทธมารดาได้นั้น ก็ต้องผ่านการบำเพ็ญเพียรภาวนาอธิษฐานจิต รักษาศีล ปฏิบัติธรรมอยู่ในวินัยอย่างเคร่งครัด และมีจิตใจเป็นกุศล จึงจะให้กำเนิดผู้มีบุญได้”

แม่ชีศันสนีย์กล่าวอีกว่า แม้ผู้ประสบภาวะมีบุตรยากก็มิใช่ข้อยกเว้น ถึงแม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีทันสมัยมากมายช่วยให้การมีบุตรไม่ใช่เรื่องยาก อีกต่อไป แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การเตรียมความพร้อมทางกายภาพเท่านั้น การขัดเกลาทางจิตใจเป็นเรื่องที่ต้องกระทำควบคู่กันไปเพื่อให้เด็กที่เกิดมา สมบูรณ์พร้อมอย่างแท้จริง

จะเห็นว่าแนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการรักษาของศูนย์เทคโนโลยี เพื่อการมีบุตรของโรงพยาบาลนครธน ซึ่งเน้นการรักษาแบบองค์รวมผสมผสานกับแพทย์ทางเลือกแขนงต่างๆ ประยุกต์ใช้เข้ากับการรักษาเพื่อปรับสมดุลให้แก่ผู้ประสบปัญหาให้ถึงพร้อม ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

อาจารย์สุกัญญา หงส์ประภาส ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ไทยของโรงพยาบาลนครธน อธิบายว่า การเตรียมความพร้อมให้กับพ่อแม่ด้านจิตใจถือว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกับ ความพร้อมด้านร่างกาย ความเครียดถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญซึ่งส่งผลกระทบต่อความสำเร็จในการรักษา ผู้มีบุตรยากและยังมีผลกระทบต่อเนื่องไปตลอดช่วงการตั้งครรภ์ 9 เดือน เมื่อแม่เครียดย่อมส่งผลไม่ทางใดก็ทางหนึ่งต่อลูกน้อย

JOBJOB เมื่อกายจิตพร้อม(ก็)สร้างลูกประเสริฐได้อาจารย์ สุกัญญาแนะนำว่า คุณพ่อคุณแม่สามารถปรับใช้ความรู้แพทย์แผนโบราณมาช่วยในเรื่องนี้ได้ เช่น การปรับสมดุลร่างกายด้วยการรับประทานพืชผักสมุนไพรไทยแทนที่อาหารเสริมราคา แพง การกำหนดฝึกลมหายใจรักษาสมาธิ ออกกำลังกายผ่อนคลายความเครียดด้วยการนวดกดจุดแผนโบราณหรือการฝังเข็มตาม หลักการแพทย์จีนโบราณ พร้อมกันนั้นยังแนะให้พ่อแม่ทุกคู่รักษาจิตให้แจ่มใสด้วยการสวดมนต์ภาวนา รักษาศีล 5 เหล่านี้ถือว่าเป็นการสร้างเสริมรากฐานที่สำคัญให้แก่ลูกน้อยแล้ว

เเต่ขณะเดียวกันทางโรงพยาบาลนครธนเองก็ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของ วิทยาศาสตร์ เเละเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทางโรงพยาบาลได้นำเข้ามาให้บริการเเก่ว่าที่คุณพ่อคุณเเม่ที่ประสบปัญหา มีบุตรยาก

นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล แพทย์เฉพาะทางด้านภาวะผู้มีบุตรยาก กล่าวว่า จริงๆ เเล้วหลายคนเข้าใจผิดว่าศาสนากับเรื่องของวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่ไปด้วย กันไม่ได้ เเต่ในมุมมองของโรงพยาบาลนครธนเเล้ว เชื่อว่าการนำเอาหลักศาสนาเเละการเเพทย์ทั้งเเผนปัจจุบันเเละการแพทย์แผนทาง เลือกมาผสมผสานใช้ด้วยกัน น่าจะทำให้เกิดผลดีที่สุดต่อทั้งคู่สมรสที่ตั้งใจจะมีบุตร เเละต่อลูกน้อยในครรภ์ที่จะลืมตามาดูโลกด้วย

การใช้เทคโนโลยีรักษาภาวะมีบุตรยากที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายใน ปัจจุบัน เช่น การผสมเทียม การทำกิฟต์ การปฏิสนธินอกร่างกายด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว การทำพรอสท์ อิคซี่ การบริจาคไข่ ตัวอ่อน อสุจิ ตลอดไปจนถึงการตรวจความผิดปกติทางพันธุกรรมของตัวอ่อนก่อนการฝังตัว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่เพิ่มโอกาสให้ทารกที่มากำเนิดมีสุขภาพแข็งแรง เเละทางศูนย์ยังมีความพร้อมในการรองรับเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ใน อนาคตอีกด้วย

นพ.พิสิฐ กล่าวสรุปว่า ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตรของโรงพยาบาลนครธน มีเทคโนโลยีที่นำสมัย เเต่ก็ไม่ได้ละทิ้งเรื่องของศาสนา ยังคงมุ่งเน้นการรักษาด้วยหลักการแบบองค์รวมให้เกิดความสมดุลระหว่างทางร่าง กายและจิตใจ เพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกผ่อนคลายมากที่สุดตามแนวคิด “อบอุ่น ใส่ใจ ให้เวลา” ร่วมกับการผสมผสานการแพทย์แผนโบราณอย่างลงตัว เพื่อให้เราสามารถสร้างศูนย์เทคโนโลยีเเห่งนี้ เป็นห้องที่จะสร้างกุศลให้เกิดทั้งกับตัวเด็กเเละพ่อเเม่ที่ประสบปัญหามี บุตรยากได้

เพื่อให้ได้อภิชาตบุตรในที่สุด ตามเเนวคิดที่คุณแม่ชีศันสนีย์ได้ให้ไว้

เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์

Post Today - ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษากลางของโลก ที่ผู้คนทั่วโลกนิยมใช้กันมากที่สุด ...

บท ความ คลังความรู้ต่างๆ มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เป็นภาษาอังกฤษ แต่ภาษาอังกฤษก็ยังถูกจำกัดด้วยการใช้ในชีวิตประจำวันของเรา จนกระทั่งลืมเลือนไปในที่สุด แต่ทว่าเว็บไซต์ของเราในวันนี้จะช่วยให้เรากลับไปเรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงการใช้ในชีวิตประจำวันอีกครั้ง

JOBJOB เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์

www.english-room.com เป็นเว็บไซต์แรกที่เราจะมาแนะนำในวันนี้ครับ แค่ชื่อเว็บก็บอกแล้วครับว่าเป็นเว็บสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ ต้องยกความดีความชอบให้กับโรงเรียนศรีวิทยาปากน้ำ ที่สามารถแย่งโดเมนเนมชื่อสามัญมาแล้วสร้างเว็บไซต์สำหรับการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เพียงแต่ประโยชน์จะตกเป็นของนักเรียนในโรงเรียนเท่านั้น ยังมีเด็กนักเรียนและผู้สนใจอยากเรียนภาษาอังกฤษทั่วประเทศ สามารถเข้ามาเรียนรู้บทเรียนออนไลน์พร้อมทำแบบทดสอบเหล่านี้ได้ทุกเวลา

สามารถแบ่งหัวข้อได้ตั้งแต่ประถม 1 ไปถึงประถม 6 มีบทความอยู่เล็กน้อย แต่เน้นไปที่การทำแบบทดสอบเป็นหลักครับ เด็กจะต้องมีความรู้พื้นฐานมาส่วนหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีก็สามารถเดาหลักการใช้จากคำตอบได้ไม่ยาก

สำหรับคนที่มีพื้นฐานอยู่บ้าง เข้าใจความหมายในศัพท์บางตัว ต้องการปูพื้นฐานใหม่เข้าเว็บไซต์นี้เลยครับ http://intereladsd.blogspot.com เป็นเว็บไซต์สำหรับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งน่าจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง มีเนื้อหาการเรียนการสอน บทความ เว็บการเรียนภาษาอังกฤษ ดิกชันนารีทุกค่าย ไล่ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนอ่านข่าวภาษาอังกฤษ ของบางกอกโพสต์ได้สบายๆ รูปแบบการจัดหน้าเว็บนั้นไม่ได้หวือหวาอะไรมากมาย เพราะถูกจำกัดอยู่ที่การสร้างด้วยบล็อกเป็นหลัก แต่เชื่อเถอะครับว่ามีเนื้อหามากพอ ที่จะทำให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษได้ไม่ยาก

รวมทั้งวิธีการสอนการนำเสนอของเจ้าของเว็บ ตรงตามหลักการเรียนภาษาตามธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริง เห็นแล้วอยากให้ผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการได้มาเห็นว่า ที่ถูกต้องแล้วภาษาอังกฤษควรเรียนอย่างไร มนุษย์เราสื่อสารกันได้ด้วยการออกเสียง พูด ก่อนที่จะอ่านและเขียนเป็น ในภาษาไทยเราเด็กไทยพูดเป็น ก่อนอ่านออกเขียนได้ แต่เรากำลังเรียนรู้ภาษาอังกฤษในแบบสวนทางคือ อ่านก่อน เขียนได้ พูดทีหลัง

เวลาคนไทยเราพูดภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาเขียนตามไวยากรณ์ตรงตัว ดูแล้วพูดเป็นทางการมาก ลองนึกภาพเห็นเด็กต่างชาติพูดภาษาไทยกับเราแบบภาษาเขียน มีศัพท์แสงที่เราไม่ได้ใช้พูด คงดูน่ารักไปอีกแบบ ในทางกลับกันคงเหมือนคนต่างชาติฟังคนไทยพูดเป็นภาษาเขียนอังกฤษก็เช่นเดียว กัน

เราสื่อสารไปตามธรรมชาติ เข้าใจศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และนำมาประยุกต์เรียงประโยคพื้นฐาน เท่านี้เราก็สนุกกับภาษาอังกฤษขึ้นอีกเยอะ ยังมีคนบนโลกอีกมากที่พยายามสื่อสารเรียนรู้กับเรา ขอเพียงเราเปิดปากพูดและเขาพยายามฟัง นี่ละคือโลกไร้พรมแดนอย่างแท้จริง ว่าแล้วก็ต้องขอตัวไปท่องจำศัพท์เพิ่มอีกสัก 3,000 ตัว ที่เว็บนี้ แล้วกลับไปทำแบบฝึกหัดใหม่ก่อนครับ สัปดาห์หน้าเรามาคุยเรื่องของโลกออนไลน์กันใหม่สวัสดีครับ

ข้อมูลโดย :

วัฒนธรรมองค์กรแก้ไม่ยาก แต่ (ต้อง) ใช้เวลา

Post Today - วัฒนธรรมองค์กรเป็นอะไรที่แก้ยากเสมอ จึงมิใช่เรื่องง่ายที่จะใช้เวลาเดือนสองเดือนในการเปลี่ยนแปลง ...

เพราะ องค์กรบางแห่งก็ใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะสำเร็จ อย่างบริษัท ลี้กิจเจริญแสง ผู้ผลิตหลอดไฟแบรนด์ “เลคิเซ่” ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ กว่าจะมาถึงวันนี้ และเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมการผลิตหลอดไฟอย่างเต็มภาคภูมิได้ระดับมาตรฐาน สากลได้ต้องใช้เวลากว่า 35 ปี ในการปรับเปลี่ยนการบริหารองค์กรที่เป็นแบบครอบครัว ที่อำนาจการบริหารและการตัดสินใจอยู่ที่บุคคลคนเดียวมาเป็นการบริหารจัดการ สมัยใหม่ รวมถึงการแก้ไขวัฒนธรรมองค์กรและทัศนคติของพนักงานให้กลับมาสู่แนวทางที่ควร จะเป็นต่อการพัฒนาองค์กรต่อไปในอนาคต

สมนึก โอวุฒิธรรม กรรมการผู้จัดการบริษัท ลี้กิจเจริญแสง บุตรชายคนโตของ “อุดม โอวุฒิธรรม” ผู้ก่อตั้งลี้กิจเจริญแสง กล่าวว่า สมัยก่อนยอมรับว่าที่โรงงานมีการจัดการความรับผิดชอบแต่ละตำแหน่งยังไม่ลง ตัว ส่วนใหญ่มีแต่คนผลิต ส่วนผู้จัดการโรงงานก็ทำหน้าที่หลายอย่าง ทั้งเป็นผู้จัดการฝ่ายทุกฝ่ายด้วย เรียกว่าคนคนเดียวแต่รับผิดชอบงานที่เกินกำลัง ทั้งนี้เพราะการบริหารไม่มีระบบ ทั้งการบริหารงานบุคคล การบริหารองค์กร เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็แก้ไขไปวันๆ ไม่มีระบบการวางแผน ไม่มีระบบเอกสารที่สามารถจะหยิบมาใช้ได้ ที่หนักกว่านั้นคือในตำแหน่งต่างๆ มีพนักงานบางคนที่ชอบทำตัวเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่กลัวการเปลี่ยนแปลง

สมนึก โอวุฒิธรรม  JOBJOB วัฒนธรรมองค์กรแก้ไม่ยาก แต่ (ต้อง) ใช้เวลา
สร้างทีมใหม่ให้เข้มแข็ง

ด้วยเหตุนี้สมนึกจึงพยายามแก้ไขอยู่หลายครั้ง หลายวิธี แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้ เพราะทุกคนไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลง ยังยึดติดกับระบบเดิมๆ ที่ดูไม่เป็นระบบระเบียบ กระนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะใช้วิธีหักดิบพนักงาน เพราะคิดว่าคนงานเก่าก็ช่วยเหลือบริษัทมานานจึงหันไปใช้วิธีอื่นที่คิดว่า ง่าย การที่จะมาเปลี่ยนคนเหล่านี้ กล่าวคือ ในเมื่อคนเก่าอยู่กับบริษัทมานานคิดว่าเจ้าของบริษัทเกรงใจแล้วก็ไม่ยอม เปลี่ยนแปลง กลับยึดระบบเดิมๆ วัฒนธรรมเดิมๆ พฤติกรรมเดิมๆ อยู่ ก็เบนเข็มด้วยการไปสร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยการจ้างวิศวกรโรงงานเข้ามาใหม่ทั้ง หมดรวดเดียว 10 คน ซึ่งใครๆ ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะเป็นการสิ้นเปลืองเงิน

“แต่ด้วยความคิดที่จะเปลี่ยนระบบการทำงานใหม่ เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรใหม่ ผมจึงว่าจ้างวิศวกรครั้งเดียวพร้อมกัน 10 คน ซึ่งเป็นที่ฮือฮามาก โดนด่าแทบทุกวันว่าจ้างมาทำไม สิ้นเปลืองเงินเพราะเงินเดือนก็สูงมากเป็นแสน แต่ผมก็คิดว่าถ้าเราคิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อความเจริญขององค์กรแล้วก็ ต้องกล้าตัดสินใจ เพราะถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้นต่อไป ไม่เป็นผลดีต่อองค์กรในอนาคตแน่”

สมนึก กล่าวว่า ความจริงก่อนหน้าที่จะรับวิศวกรมา 10 คนนั้น ก็มีการจ้างวิศวกรเหมือนกัน เพราะตอนนั้นที่โรงงาน คนที่ทำงานจะมีวุฒิการศึกษาสูงสุดอยู่ที่ปวช. ไม่มีวิศวกรสักคนเดียว แต่ผลก็คือเมื่อจ้างมาแล้วก็อยู่ไม่ได้ เพราะได้รับแรงกดดันจากคนเก่า เช่น ไม่ได้รับความร่วมมือด้วย ไม่มีคนอยากบอกงาน หรือคุยด้วย ยอมรับว่าช่วงนั้นสู้ศึกพอสมควร แต่ก็ไม่ท้อ โดยได้เริ่มการสร้างทีมขึ้นมาด้วยแนวคิดของตัวเอง โดยการสอนงานให้กับวิศวกรทั้ง 10 คน แล้วส่งพวกเขาเข้าไปเรียนรู้งานทุกอย่างในแผนกต่างๆ และทุกวันพอเลิกงานก็จะให้ทุกคนเข้ามาประชุมกัน ใครที่เห็นปัญหาอะไรในองค์กรที่ต้องแก้ หรือมีวิธีในการแก้ปัญหานั้นอย่างไร หรือควรจะปรับปรุงตรงไหนก็ให้สรุปออกมา

“ทำอย่างนี้ทุกวันแล้วก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง คือ กลุ่มวิศวกรมีวัฒนธรรมของพวกเขาชัดเจน เช่น เวลารับประทานอาหารกลางวันก็มารวมกัน พูดคุยปรึกษากัน สุดท้ายพวกเขาก็อยู่กันได้ เกิดสายเลือดใหม่ขึ้นมา”

สมนึก กล่าวว่า ปัจจุบันวิศวกรชุดนี้เหลือ 2 คน คนหนึ่งเป็นระดับผู้จัดการโรงงาน อีกคนหนึ่งเป็นระดับผู้จัดการฝ่ายอยู่ด้านคุณภาพในบริษัทในเครือลี้กิจเจริญ แสง แต่เนื่องจากองค์กรช่วงนั้นยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนอะไรมาก จึงทำให้บางคนเติบโตแล้วก็ออกไปได้ดิบได้ดีกัน แต่ถึงอย่างไรก็เชื่อมั่นว่าวิธีการนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้บริษัท เกิดการบริหารงานที่เป็นระบบมาก คนเก่าเริ่มคิดที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตนเองมากขึ้น และคิดว่าถ้าบริษัทดีตนก็ดีด้วย

“แต่ก่อนเครื่องจักรเสียอยากซ่อมเครื่องก็ซ่อม ไม่อยากซ่อมก็ปล่อยไปก่อน แต่สมัยนี้ไม่ได้แล้ว เขามีระบบพีเอ็มมีการวางแผน แต่ก่อนให้ทำเอกสาร ทำโพสิเยอร์ เขียนไอเอสโอ ไม่ทำเราก็แทรกซึมเข้าไปเรื่อยๆ จนมีกลุ่มตัวอย่างใหม่ขึ้นมา แล้วก็ไม่รีรอที่จะเชิดชูให้การสนับสนุนคนกลุ่มนี้ ยิ่งตอนหลังเราหันมาใช้ระบบใครทำดีต้องโปรโมตยกย่อง ในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางที่ดีเป็นที่น่าพอใจ”

ค่าของคนวัดที่ผลของงาน JOBJOB วัฒนธรรมองค์กรแก้ไม่ยาก แต่ (ต้อง) ใช้เวลา

สมนึก กล่าวว่า สมัยก่อนไม่มีใครคิดอยากเป็นหัวหน้า เพราะการเป็นหัวหน้าต้องทำงานหนักและรับผิดชอบเยอะ แถมยังถูกด่ามากกว่าคนอื่น เงินเดือนก็ไม่ได้มากกว่าลูกน้อง ทั้งนี้เพราะการปรับเงินเดือนตอนนั้นยังไม่มีระบบที่ดีและเป็นธรรม เพราะจะเห็นว่าบางคนเมื่อถึงช่วงปรับเงินเดือนก็เข้าหานายให้นายเห็นหน้า บ่อยๆ ส่วนพวกที่ไม่ชอบเข้าหานาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกที่ทำงานจริงๆ พอผลปรับเงินเดือนออกมาก็ลาออกกันไปทั้งที่เป็นคนเก่ง นี่คือปัญหาใหญ่และเป็นวัฒนธรรมที่ไม่พึงปรารถนา ด้วยเหตุนี้จึงหันมาใช้ระบบค่าของคนวัดที่ผลของงานในการปรับเงินเดือน

กล้าปฏิวัติระบบเงินเดือน

จากการที่ได้ใช้ระบบค่าของคนวัดที่ผลของงานในการปรับเงินเดือน ทำให้เขากล้าที่จะปฏิวัติในการปรับเงินเดือนพนักงานโดยไม่ลังเล เขาบอกว่า ตามปกติการขึ้นเงินเดือนคนที่เงินเดือน 1 หมื่นบาท ถ้าขึ้น 10% ก็ 2,000 บาท แต่ถ้าทำงานได้ไม่ดีไม่สมกับงานและความรับผิดชอบก็ขึ้นให้ 500 บาท ส่วนคนที่ทำดีขึ้นให้ 5,000 บาท โดยไม่สนว่าทำงานมากี่ปีแต่ว่าจ่ายให้ตามที่ทำงานจริง ปรากฏว่าเริ่มได้ผล คนอยากเป็นหัวหน้ามากขึ้น

“ผมบอกเลยระดับหัวหน้า 3 หมื่นขึ้น คนทำงานทั่วไป 1 หมื่นกว่า ถ้าปรับตามเกณฑ์อีก 10 ปี จึงได้ 3 หมื่น จากนั้นมาก็เลยเกิดการแข่งขันอยากที่จะเป็นหัวหน้ากัน แต่ก็ยอมรับว่าการที่จะเปลี่ยนแปลงในเรื่องการปรับเงินเดือนต้องใช้เวลาใน การคิดเป็นปี เพราะก่อนนั้นก็มีการแก้ไขปรับเปลี่ยนทดลองหลายวิธีเหมือนกันแต่ไม่ได้ผล สุดท้ายก็เข้าใจว่าต้อง ‘วินวิน’ ทั้งสองฝ่าย ฉะนั้นจากที่ปรับปีละ 1,000 บาท ก็ปรับเป็น 1 หมื่นบาท (ส่วนใหญ่โชว์ออฟจริงๆ ปรับที่ 5,000-7,000 บาท) แต่ถ้าต้องการปั้นใครเป็นผู้จัดการฝ่าย เงินเดือน 1.5-1.7 หมื่นบาท ก็ปรับเป็น 2.6-2.7 หมื่นบาท ซึ่งวิธีนี้ทำให้เห็นภาพอย่างหนึ่งที่ชัดมาก ก็คือคนคนนั้นแทบจะยอมตายแทน ทำทุกอย่าง สู้เหมือนตัวเองเป็นเจ้าของ และเมื่อคนอื่นเห็นเขาทำก็เอามั่ง กลายเป็นว่าเกิดสังคมและวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมา ก็คือทุกคนทุ่มเททำงาน”

กรรมการผู้จัดการ ลี้กิจเจริญแสง กล่าวว่า การสร้างทีมใหม่ไม่ใช่ใช้แค่เงิน แต่ปั้นคนที่เพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่เขามีความคิดที่บรรเจิด ส่วนคนที่อยู่ในวัฒนธรรมองค์กรแบบเดิมๆ มีความคิดแบบเนกาทีฟเยอะ ก็เอาคนรุ่นใหม่เก่งๆ ที่มีความสามารถนี้เข้าไปอยู่คลุกคลีด้วย นานไปคนรุ่นเก่าก็จะลดเนกาทีฟลงและก็เป็นอย่างนั้น เพราะผู้จัดการฝ่ายระดับที่ไม่จบวิศวะก็มีบางคนที่สุดท้ายเป็นเพชรในตมที่ บริษัทต้องพึ่ง เพราะประสบการณ์สูงมาก แล้วสุดท้ายจึงกลายเป็นเลือดผสมใหม่และเก่า

สมนึก กล่าวว่า การที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร เปลี่ยนทัศนคติคนรุ่นเก่าได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่นี่ 3 ปี เปลี่ยนได้เป็นบางส่วน 5 ปี จึงเปลี่ยนได้หมด ปีแรกเหนื่อยเพราะมีคนอยากลองของ แต่ต้องยกมือให้วิศวกรทั้ง 10 คน ที่ทำงานหนักเพราะเป็นผู้ไปรับเอาปัญหาต่างๆ ในแต่ละแผนก ต้องเจอกับระบบอุปถัมภ์ร้อยแปด แต่ก็ทำได้ดีเกินคาด

การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนให้จบในเร็ววัน นอกจากต้องใช้เวลาและองค์ประกอบอื่นๆ แล้วต้องใช้วิธีที่เหมาะกับสถานการณ์และบุคคลด้วย

ข้อมูล : Post Today

ดูดี...ทำได้ไม่ต้องเดี๋ยว

ต่อไปนี้เป็นคำถามที่จะช่วยทำให้เข้าใจ และเห็นได้ว่าบุคลิกภาพมีประโยชน์ต่อการพัฒนาความน่ามอง ความดูดี และความมีราคาของคนทุกคน ช่วยให้เป็นคนที่น่าคบ มีประสิทธิภาพ และมีความสุข ซึ่งทุกคนสามารถลงมือทำได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องผัดผ่อน แล้วความดูดีจะปรากฏขึ้นในบัดดล JOBJOB ดูดี...ทำได้ไม่ต้องเดี๋ยว

บุคลิกภาพสำคัญอย่างไร

บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่ทำให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว เป็นวิถีแทนความคิดและการกระทำ สามารถสร้างความรู้สึกต่อผู้พบเห็นว่าชอบหรือไม่ชอบ หรือเกิดความรู้สึกต่อคนคนนั้นอย่างไร ทำให้คนเกิดความรู้สึกทางใจ หรืออารมณ์ โดยไม่ต้องใช้ความคิด สติปัญญา หรือการตัดสินใจที่ต้องใช้เหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น บุคลิกภาพที่ดีจึงเป็นทั้งเสน่ห์และอำนาจ และเป็นที่ชื่นชอบของคนโดยทั่วไป ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นๆ ได้อย่างราบรื่น

บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงได้ไหม

บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้เสมอ ยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ที่ทุกคนต้องเข้าสู่สังคมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปรับบุคลิกภาพให้ได้มาตรฐานสากลจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ดังนั้นทำอย่างไรเราจึงจะเป็นบุคคลที่เป็นที่น่าเชื่อถือ ไว้วางใจ สง่างาม สดใส ทันสมัย และดูจริงใจ ก่อนอื่นเราต้องตระหนักว่าทุกสิ่งที่เราต้องการข้างต้นนั้นต้องเริ่มมาจาก ภายใน นั่นคือ ความคิด เมื่อคิดแล้วก็จะเกิดการแสดงออกผ่านทางภาพลักษณ์และน้ำเสียงที่ดี จนถ่ายทอดเป็นการกระทำที่ประทับใจ ต้องท่องไว้เสมอว่า ฉันจะเติมแต่งชีวิตให้มีความสุขทุกวัน

เคล็ดลับในการสร้างความน่าเชื่อถือ

ต้องมาจากภาพลักษณ์ คือ เสื้อผ้าหน้าผมที่ดี ของใช้ที่เหมาะสม ภูมิฐาน ตลอดจนกิริยาในแต่ละอิริยาบถ ท่านั่ง ท่าเดิน ท่ายืน การไหว้ที่ดูดี ซึ่งจะเป็นดั่งเกราะที่ดึงดูดใจผู้พบเห็น นั่นคือมีมาดที่ดี เมื่อมาดดีย่อมทำให้เกิดความสง่างาม รู้สึกน่าไว้วางใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความสดใสด้วยสีหน้าที่มีชีวิตชีวา เทคนิคคือให้คิดว่าบนหน้าผากของคนที่เราพูดคุยด้วยมีคำว่า “ช่วยทำให้ฉันเป็นคนพิเศษหน่อยสิ” ติดอยู่

ส่วนเรื่องทันสมัยนั้น หมายถึง เราต้องเป็นคนทันโลก ทันเหตุการณ์ มีเรื่องราวเชิงบวกในการสนทนา ปัจจุบันใน 1 วัน หนึ่งในสี่ของระบบความคิดของคนจะคิดแต่เรื่องลบ เพราะฉะนั้นต้องสรรหาเรื่องที่น่าสนใจและสร้างสรรค์มาเป็นหัวข้อการพูดคุย ตลอดจนการแต่งกายก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนลุค เช่น อย่าไว้ผมทรงเดิมตลอด อย่าแต่งชุดโทนสีเดิมตลอด เป็นต้น

เราจะสื่อสารความจริงใจให้คนอื่นรู้ได้อย่างไร

สามารถแสดงออกผ่านการพูดที่ให้เกียรติ ใช้สรรพนามและคำลงท้ายที่สุภาพ อ่อนหวานโดยต้องใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยน ท้ายประโยคมีการทอดเสียงไม่กระชาก ห้วน หรือเสียงแข็ง อีกทั้งไม่ควรพูดแบบอวดรู้ เช่น อยากจะแนะนำอะไรสักอย่างก็ให้ใช้คำว่าขออนุญาตให้ข้อมูลเพิ่มเติมแทน เป็นต้น พร้อมใช้สายตาหรือ Eye Contact โดยแนะนำให้มองตาข้างใดข้างหนึ่งของคู่สนทนา เพื่อแสดงความใส่ใจและทำให้สายตาดูอ่อนลงไม่เป็นการจ้องหน้ามากเกินไป อีกเรื่องที่สำคัญคือระยะห่าง ไม่ควรเข้าไปใกล้เกิน 1 ช่วงแขนในกรณีที่ไม่สนิท เพราะระยะนั้นเป็นระยะพื้นที่ส่วนตัว ถ้าจำเป็นให้ขออนุญาตด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ

มีองค์ประกอบอะไรบ้างที่เราต้องสร้างและพัฒนา ขอแนะนำสัก 7 ประการนะคะ

1.ความคิด : เป็นรากฐานสำคัญของความเป็นคนคนหนึ่ง บุคลิกภาพงอกงามออกมาจากความคิดค่ะ เช่น คิดว่าจะอยู่แบบพอเพียงเรียบง่าย เขาก็จะแสดงออกผ่านการแต่งกาย การซื้อข้าวซื้อของ เครื่องประดับ บ้านช่องห้องหับ และวิถีชีวิตแบบพอเพียง แต่ถ้าคิดอยากเด่นอยากดัง ก็จะต้องแต่งเนื้อแต่งตัวอีกแบบหนึ่ง พาตัวเองไปอยู่ในวงสังคมอีกแบบหนึ่ง ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง ซึ่งต้องชัดเจนในตัวเองเสียก่อน ว่าเรามีความคิดแบบใด คำแนะนำของดิฉันก็คือ “นกน้อยทำรังแต่พอตัว” จึงต้องมองเห็นตัวเองแล้วกำหนดความคิดว่า เราควรจะมีชีวิตและดำเนินชีวิตแบบใด

2.เสื้อผ้า : ก่อนที่เสื้อผ้าจะช่วยเสริมความดูดี คนคนนั้นต้องมีรูปร่างที่ดีเสียก่อน ดังนั้นต้องดูแลรูปร่างให้กระชับ สมส่วน จากนั้นจึงหาเสื้อผ้าที่ส่งเสริมรูปร่างและผิวพรรณมาสวมใส่ ช่วยให้ดูสดใส สวยงามสมวัย แม้รูปร่างไม่เพอร์เฟกต์ แต่เสื้อผ้าก็ช่วยลดจุดด้อยในตัวได้ เช่น ปิดบังสะโพกที่ใหญ่เกินไป แก้ไขเรื่องเอวที่ไม่มี ก้นที่แบน ขาที่ใหญ่ แขนที่อวบ คอที่สั้นหรือยาว ฯลฯ โดยเลือกแบบและลวดลายที่เหมาะสม คือไม่เน้นส่วนด้อยให้ยิ่งโดดเด่น เช่น ไม่สวมกางเกงหรือกระโปรงรัดรูปจนบั้นท้ายมหึมายิ่งตำตาผู้คน ไม่สวมกางเกงหรือกระโปรงสั้น จนขาติดมันของคุณเป็นที่หัวเราะ

3.ทรงผม : เลือกทรงผมที่ส่งเสริมความโดดเด่นของใบหน้า และแก้ปัญหาส่วนด้อยไปด้วย เช่น หน้าผากกว้าง กรามใหญ่ ตาเล็ก คางสั้น ฯลฯ ขณะเดียวกันทรงผมก็ควรทันสมัย เสริมบุคลิกให้โดดเด่น น่ามอง และน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

4.เครื่องประดับ : อย่าให้รกรุงรัง จนดูเหมือนหุ่นตั้งเครื่องประดับในร้าน เลือกเครื่องประดับที่ทันสมัย แบบจะหวือหวาหรือเรียบง่ายก็ดูจากชุดที่สวมใส่ สถานที่ และงานที่เรากำลังจะไป

5.รอยยิ้ม : เป็นเสน่ห์ที่ไม่ต้องลงทุนซื้อหา ใครที่มีรอยยิ้มประดับใบหน้า บ่งบอกว่ามีความเป็นมิตร เป็นคนอารมณ์แจ่มใส ผิดกับคนหน้าตาบูดบึ้งหรือเฉยชา ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะไม่ชวนให้รู้สึกวางใจหรือประทับใจ จึงไม่อยากคบค้าหรือติดต่อประสานงานด้วย

6.คำพูด : พูดจาด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร เต็มใจพูด แจ่มใส จะทำให้คนที่เราพูดด้วยรู้สึกดี และสะท้อนความดูดีของตัวเราเอง ทุกครั้งที่พูดจงเต็มใจพูด พูดให้ไพเราะ สุภาพ น่าฟัง มีสาระ ใช้ถ้อยคำที่เข้าใจง่าย และให้เกียรติแก่ผู้ฟังด้วย

7.จิตใจ : จิตใจที่ดีจะเป็นความดูดีที่ถาวรและเป็นเสน่ห์ที่ยั่งยืนมาก เราทุกคนอยากรู้จักคบหากับคนที่จิตใจดี จิตใจที่ดีต้องมองโลกในแง่ดี มองคนในแง่ดี และมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต มีความหวัง รู้จักให้ รู้จักแบ่งปัน มีคุณธรรมนำทาง ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ไม่ให้ร้าย และไม่คิดร้ายกับใครทั้งสิ้น

ข้อมูลโดย :

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การดูแลต้นไม้หน้าฝน

ช่วงนี้ก็เข้าหน้าฝนกันแล้ว ทราบหรือไม่ว่าควรดูแลต้นไม้อย่างไร วันนี้เรามีวิธีดูแลต้นไม้ในหน้าฝนมาบอก
การดูแลต้นไม้หน้าฝน


1. ต้องตัดแต่งกิ่งต้นไม้ยืนต้นให้โปร่งก่อนจะเข้าหน้าฝน ถ้ากิ่งก้านทึบมากเกินไปจะทำให้กิ่งฉีก หักได้ง่าย เพราะน้ำฝนที่เกาะบนใบไม้ในปริมาณมาก จะมีน้ำหนักมากขึ้นทำให้กิ่งฉีกขาดเสียหาย นอกจากนี้หน้าฝนจะมีพายุและลมแรงกระโชก ทำให้กิ่งไม้ฉีกขาดหรือหักได้

2. ต้องมั่นใจว่าพื้นที่ปลูกต้นไม้ไม่มีน้ำท่วมขัง ถ้ามีน้ำขังแล้วจะทำให้ต้นไม้เกิดอาการรากเน่า ควรจะปรับเนินดินเพื่อไม่ให้น้ำขังบริเวณโคนต้น ถ้าทำเนินดินแล้วต้นไม้ยังได้น้ำมากเกินไปอยู่อีก ควรจะทำระบบระบายน้ำจากบริเวณรอบโคนต้นไม้ ให้น้ำไหลออกไปเร็วที่สุด แต่ควรระวังปริมาณ ดินที่มาปรับทำเนินจะทำให้เกิดอันตรายต่อต้นไม้ได้ ถ้าหากการถมดินนั้นกลบโคนต้นไม้ มากเกินไป

3. ควรฉีดยาพ่น ยาป้องกันกำจัดเชื้อราด้วย เพราะเชื้อรา คือ สาเหตุที่ทำให้ผลผลิตและคุณภาพของพืชพรรณลดลง

4. หมั่นกำจัดวัชพืชที่ขึ้นปกคลุมต้นไม้เป็นประจำ เพราะหน้าฝนวัชพืชจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและขึ้นปกคลุมต้นไม้ แย่งอาหารและแสงแดด ทำให้ต้นไม้อ่อนแอ

5. ควรพรวนดินเพื่อให้ดินมีโอกาสแห้งในระดับผิวดิน และรากต้นไม้ที่อยู่ในระดับหน้าดิน จะได้รับออกซิเจน

6. ไม่ควรใส่ปุ๋ยมากเกินไป หรือถ้าใส่ต้องรีบพรวนดินเพื่อให้ดินกลบปุ๋ยก่อนที่น้ำฝนจะชะล้างปุ๋ย ให้ไหลไปที่อื่น

7. สำหรับต้นไม้ที่ปลูกใหม่ควรค้ำยันให้ดี เพราะยังไม่มีรากที่จะยึดเกาะดินพยุงลำต้นอยู่ได้ด้วย ตัวเอง อีกทั้งลมแรงอาจทำให้ต้นไม้ปลูกใหม่โอนเอนไปตามลม ซึ่งจะทำลายระบบรากที่กำลังแตกออก อาจทำให้ต้นไม้ชะงักการเจริญเติบโตได้

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมหันมาดูแลต้นไม้ช่วงหน้าฝนให้ถูกวิธีกันด้วย.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

การดูแลรักษาไม้กระถาง

อยากให้ไม้กระถางอยู่ได้นาน ๆ วันนี้เรามีวิธีดูแลรักษามาบอก
การดูแลรักษาไม้กระถาง
บ้านไหนที่นิยมปลูกไม้กระถางไว้ประดับบ้าน และ...

การ ปลูกไม้กระถาง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลรักษาอย่างดี และสม่ำเสมอ ทั้งนี้เพื่อให้ไม้กระถางมีอายุยืน และคงความสวยงามไว้ได้นาน ไม่ต้องเปลี่ยนกระถาง หรือต้นไม้บ่อยครั้ง

ไม่ ควรตั้งไม้กระถางในที่ที่มีลมแรงมาก หรือตั้งใกล้ที่มีไอร้อนมาก เช่น อยู่ใกล้เครื่องทำความร้อน ไม้กระถางส่วนมากไม่ชอบให้ลมพัดโกรกมาก หรืออุณหภูมิสูง เพราะจะทำให้พืชมีการระเหยน้ำมากจนต้นไม้นั้นเหี่ยวเฉาตายได้ โดยเฉพาะการใช้ไฟส่องแสงสว่างแรง ๆ และใกล้ต้นไม้เกินไปทำให้ต้นไม้ทนความร้อนไม่ไหวทำให้เหี่ยวเฉาตายได้ในที่ สุด

การนำไม้ กระถางไปใช้งานหรือประดับในที่ต่าง ๆ ควรคำนึงถึงช่วงเวลาการใช้งานของไม้แต่ละกลุ่ม เช่น ไม้กลางแจ้งจำพวกหมากเหลือง ไทร ไผ่ วาสนา หากนำไปใช้ประดับในร่ม หรือในอาคาร ช่วงเวลาของการใช้งาน 6-8 สัปดาห์ ก็ควรสับเปลี่ยนไม้ชุดใหม่เข้าแทน เพื่อจะได้พักฟื้นไม้ประดับชุดเก่า

ส่วน ไม้ในร่มหรือกึ่งร่ม เช่น โมก คล้า อะโกลนีมา เปปเปอโรเมีย ฟิโล เดนดรอน พลูด่าง เฟิร์น รวมทั้งกลุ่มไม้ดอก เช่น กล็อกซีเนีย กล้วยไม้ อาฟริกันไวโอเลท จะอยู่ได้นานกว่า เพราะไม้กลุ่มนี้ต้องการแสงจำกัดอยู่แล้ว อายุการใช้งานอาจจะถึง 8-10 สัปดาห์ แต่อายุการใช้งานของไม้ทั้ง 2 กลุ่ม ถ้ายิ่งใช้งานช่วงเวลาสั้นจะดีกว่าเพราะไม่ทำให้ต้นไม้โทรมหรือช้ำมาก ไม้จะฟื้นตัวเร็วและคงความสวยงามได้นาน ดังนั้นสำหรับไม้ประดับในร่มแล้ว จึงควรเตรียมไม้ประดับไว้หลายชุด เพื่อใช้สับเปลี่ยน

ไม้ กระถางที่ใช้ประดับนอกอาคารนั้นสำคัญที่สุด คือ การให้น้ำสม่ำเสมอ ถ้าขาดน้ำแล้วจะเหี่ยวเฉา ถ้าใช้จานรองก้นกระถางหล่อน้ำเอาไว้ก็อาจจะช่วยได้บ้าง

การ ดูแลทำความสะอาดใบ ก็นับเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เพราะใบที่สะอาดคือใบที่แข็งแรง การล้างใบเป็นการล้างเอาฝุ่นละอองออกจากใบ นอกจากจะทำให้ใบสะอาดสวยงามแล้ว ยังทำให้พืชสามารถปรุงอาหารได้ดีขึ้น วิธีล้างใบควรใช้น้ำสบู่อ่อน ๆ จะไม่ทำให้เป็นอันตรายต่อใบ ไม่ควรใช้ผงหรือน้ำยาซักฟอกประเภทกัดรุนแรงโดยเด็ดขาด

ส่วน โรคที่พบอยู่เสมอได้แก่โรคโคนเน่า มักเกิดกับพืชในระยะที่เป็นต้นกล้ายังตั้งตัวไม่ได้ แสดงอาการใบเหี่ยว เมื่อดูที่โคนต้นระดับผิวดินจะพบรอยเน่า และต้นล้มตายในที่สุด การป้องกันให้พยายามทำให้บริเวณโคนต้นโปร่ง มีการระบายอากาศดี มีแสงแดดส่องถึง และรักษาผิวหน้าดินปลูกอย่าให้ชื้นแฉะเกินไป

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากให้ไม้กระถางอยู่ได้นาน ๆ ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วิธีปลูกไม้ประดับนอกอาคาร

ใครที่ต้องการปลูกไม้ประดับไว้รอบ ๆ บ้าน วันนี้เรามีวิธีปลูกมาบอก
วิธีปลูกไม้ประดับนอกอาคาร


1. เลือกดินที่มีความเหมาะสมกับความต้องการพันธุ์ไม้ประดับที่จะปลูก

2. การขุดหลุมปลูก ควรพิจารณาถึงขนาดของพืช โดยพิจารณากลุ่มรากและขนาดของทรงพุ่ม

3. ขุดดินขึ้นมาแล้วให้แยกดินส่วนบนหรือหน้าดินและดินส่วนล่างไว้ต่างหากกันคน ละกอง โรยปูนขาวให้ทั่วทั้งหลุมและดินที่กองไว้ แล้วตากแดดเอาไว้ก่อนประมาณ 2 สัปดาห์

4. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักหรือจะใช้ใบไม้แห้งผสมกับปุ๋ยคอกเก่า ๆ แทนก็ได้

5. นำดินส่วนบนลงไปแล้วคลุกให้เข้ากันกับปุ๋ย

6. นำพันธุ์ไม้ที่ต้องการจะปลูกวางลงไป จัดให้ตรงอย่าให้เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง แล้วหาไม้มาปักลงไปในหลุมเพื่อยึดต้นไม้ไว้

7. นำปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเก่า ๆ มาผสมคลุกเคล้ากับดินอีกกองที่เหลือซึ่งเป็นดินล่าง ใส่ลงไปในหลุมแล้วกดให้แน่นแล้วรดน้ำให้ชุ่ม

8. ถ้าหากปลูกในหน้าแล้งควรทำคันดินเพื่อให้เก็บน้ำที่โคนต้นด้วยแต่ถ้าหากเป็น หน้าฝนควรพูนดินที่โคนต้นให้สูขึ้น เพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง

9. กรณีที่ปลูกไม้ประดับที่มีขนาดใหญ่แล้ว เช่น ปาล์ม ควรตัดใบออกบ้าง

10. พันธุ์ไม้ที่เพิ่งจะย้ายออกมาจากเรือนเพาะชำ ควรจะทำร่มเงาให้ เมื่อปลูกเสร็จแล้ว ผู้ปลูกควรจะต้องให้ความดูแลเอาใจใส่ในระยะแรกจนกว่าไม้ประดับที่ปลูกจะตั้ง ตัวได้

รู้อย่างนี้แล้ว ลองนำวิธีที่แนะนำไปปลูกไม้ประดับกันดูได้.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

บ้านหลังสีขาวสุดกิ๊บกับไอเดียสุดเก๋ ด้วยการประยุกต์บ้านเก่าให้เป็นทั้งร้านอาหารและช็อปเสื้อผ้าไว้ในที่เดียวกัน

Stuff @ Ekamai22
เดิมร้านนี้เน้นขายเสื้อผ้าเป็นหลัก แต่ก็มีอาหารสไตล์ไทยผสมอิตาเลียนไว้คอยบริการควบคู่กันไปด้วย บวกกับบรรยากาศรอบๆ บ้าน ที่สบายๆ มีบ่อน้ำเล็กๆ กับสนามหญ้าสีเขียวหน้าบ้าน จึงทำให้บ้านหลังนี้กลายเป็นแหล่งแฮ็งเอาต์แห่งใหม่สำหรับขาช้อปไปในที่สุด
พื้นที่ ภายในบ้านถูกแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ใครที่ต้องการอัพเดทแฟชั่นเทรนด์ใหม่ๆ ขอเชิญที่ชั้นบน เพราะจะมีเสื้อผ้าให้เลือกเยอะกว่าชั้นล่าง แต่ถ้าใครเน้นไปทาง Accessory ต่างๆ เช่น กระเป๋า รองเท้า หรือหมวก ลองแวะชั้นล่าง รับรองไม่ผิดหวัง นอกจากนี้บริเวณชั้นล่างยังมีมุมบริการเครื่องดื่มและของว่างสุดอร่อยไว้ให้ เติมพลังขาช้อปกันอีกด้วย บรรยากาศก็กิ๊บ อาหารก็อร่อย ขาช้อปทั้งหลายไม่ควรพลาด!!!
Stuff @ Ekamai 22
ซอยเอกมัย 22 (ตรงเข้ามาเลี้ยวขวาแรก ตรงไปสุดซอยเลี้ยวซ้าย ร้านอยู่ในบ้านหลังที่ 2 ซ้ายมือ)
เปิด 11.00-24.00 น. (ปิดวันจันทร์) โทร. 081-824-1010, 0-2391-4625
Stuff @ Ekamai22
Dont Miss! :
> ยำไส้กรอกพริกสด > สปาเกตตีหมูแดดเดียว
> แอปเปิ้ลครัมเบิ้ล > คาปูชิโน่เย็น
ที่มาข้อมูล : 247 City Magazine